https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management 2025-10-06T19:16:16+07:00 Chonnatcha Tonthong,ชลณัฐชา ตันทอง chonnatcha.tob@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่</strong><strong> : </strong></p> <p>วารสารกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ และตีพิมพ์ทุก ๆ 4 เดือน/ปี </p> <p>ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความทางด้านเกษตรศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่</p> <p> 1. สาขาพืชไร่นา</p> <p>2.สาขาพืชสวน</p> <p>3.สาขาปฐพีวิทยา</p> <p>4.สาขาโรคพืช</p> <p>5.สาขากีฎวิทยา</p> <p>6.สาขาสัตวศาสตร์</p> <p>7.สาขาเกษตรกลวิธาน</p> <p>8.สาขาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร</p> <p>9.สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <h4><strong>วัตถุประสงค์ </strong></h4> <p><strong><span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อส่งเสริม พัฒนา และยกระดับการผลิตผลงานวิจัย ตลอดจนเพิ่มทางเลือกให้กับบุคลากรวิจัยและนิสิตในการพิจารณาส่งผลงานวิจัยลงตีพิมพ์/ เผยแพร่</span></strong></p> <p><strong>การตอบรับบทความ</strong></p> <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการต้องผ่านการประเมินจาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน</strong> <strong>แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</strong> และผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตอบรับการตีพิมพ์จำนวน 2 ท่านจากจำนวน 3 ท่าน เมื่อผ่านการประเมินแล้ว กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขเรื่องที่ส่งพิมพ์ตามที่เห็นสมควร และไม่รับพิจารณาต้นฉบับที่ไม่เป็นตามหลักเกณฑ์การตีพิมพ์ของวารสารฯ</p> <p>*กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจและแก้ไขบทความที่เสนอเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ</p> <p>*The Editorial Board Claims a right to review and correct all articles submitted for publishing</p> <p>กองบรรณาธิการวารสาร <strong>ไม่มีนโยบายเรียกเก็บค่าทำเนียมการตีพิมพ์บทความในทุกขั้นตอน (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ</strong></p> https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/760 ขวดลีโอนาร์ดส่งเสริมการเจริญเติบโตของข้าวฟ่าง การครอบครองรากและการสร้างสปอร์ของราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา 2024-02-15T14:42:10+07:00 สิรินภา ช่วงโอภาส agrsrnp@ku.ac.th ธงชัย มาลา agrthm@ku.ac.th เกวลิน ศรีจันทร์ kskavalins@gmail.com <p>ศึกษาวิธีการให้น้ำแบบต่างๆ สำหรับระบบการปลูกพืชอาศัยที่มีผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา (AMF) จากการผลิตหัวเชื้อกระถางภายใต้โรงเรือน โดยใช้ข้าวฟ่างเป็นพืชอาศัย วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จัดสิ่งทดลองแบบแฟคทอเรียล จำนวน 2 ปัจจัย 3 ซ้ำ โดย ปัจจัยที่ 1 คือ ชนิดของเชื้อราไมคอร์ไรซา 4 สายพันธุ์ ได้แก่ <em>Rhizoglomus aggregatum, Claroideoglomus etunicatum, Funneliformis geosporum </em>and <em>Rhizoglomus irregularis</em> ปัจจัยที่ 2 คือ วิธีการให้น้ำ 3 กรรมวิธี ได้แก่ การรดน้ำ การใช้น้ำหยด และการใช้ขวดลีโอนาร์ด วิเคราะห์การเจริญเติบโตของข้าวฟ่าง การครอบครองรากและสปอร์ไมคอร์ไรซา ผลของการใช้ขวดลีโอนาร์ด แสดงให้เห็นว่าความสูงข้าวฟ่างมีความสูงเฉลี่ยสูงสุดและมีน้ำหนักแห้งสูงสุดสูง การครอบครองรากและจำนวนสปอร์ของอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาที่มีการใช้ขวดลีโอนาร์ดมีค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน <em>R</em>. <em>aggregatum</em> และ <em>F</em>. <em>geosporum </em>มีการครอบครองรากข้าวฟ่างสูงที่สุด (64.24 และ 61.71 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ) <em>R</em>. <em>aggregatum</em> มีระดับการผลิตสปอร์สูงสุด (33.13 สปอร์ต่อกรัม) การใช้ขวดลีโอนาร์ดมีผลทำให้รา <em>C</em>. <em>etunicatum </em>และ <em>R</em>. <em>irregularis</em> มีการครอบครองรากต่ำกว่า (20.51 และ 30.46 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ) และเมื่อใช้ขวดลีโอนาร์ดทำให้จำนวนสปอร์ของไมคอร์ไรซา <em>R</em>. <em>aggregatum</em> และ <em>F</em>. <em>geosporum</em> มีมากกว่าของ <em>C. etunicatum </em>และ<em> R. irregularis</em> ดังนั้น ระบบการให้น้ำโดยใช้ขวดลีโอนาร์ดให้ความชื้นและสารอาหารคงที่ร่วมกับสายพันธุ์ AMF จึงส่งผลต่อการครอบครองรากและสปอร์ของหัวเชื้อ</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/776 ผลของปุ๋ยไนโตรเจนชนิดต่างๆ ต่อผลผลิต องค์ประกอบผลผลิตของมันสำปะหลัง และสมบัติบางประการของดิน 2024-02-28T12:31:41+07:00 ธนากร คุ้มตรีทอง agrcht@ku.ac.th ชัยสิทธิ์ ทองจู thongjooc@gmail.com ธวัชชัย อินทร์บุญช่วย agrcht@ku.ac.th จุฑามาศ ร่มแก้ว agrcht@ku.ac.th <p>ศึกษาผลของปุ๋ยไนโตรเจนชนิดต่างๆ ต่อผลผลิต องค์ประกอบผลผลิตของมันสำปะหลังพันธุ์ห้วยบง 60 ที่ปลูกในชุดดินกำแพงแสน และสมบัติบางประการของดิน โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) จำนวน 3 ซ้ำ 7 ตำรับทดลอง ผลการทดลอง พบว่า ทุกตำรับทดลองที่มีการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนชนิดต่างๆ มีผลให้ผลผลิตหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้งส่วนหัวสด ผลผลิตแป้งต่อพื้นที่ และปริมาณความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนที่สะสมในผลผลิตหัวสดของมันสำปะหลังใกล้เคียงกัน และแตกต่างกันทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับตำรับควบคุม (control, T<sub>1</sub>) ซึ่งมีผลให้ผลผลิตหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้งส่วนหัวสด ผลผลิตแป้งต่อพื้นที่ และปริมาณความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนที่สะสมในผลผลิตหัวสดของมันสำปะหลังน้อยที่สุด นอกจากนี้ การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปลดปล่อยช้า มีผลให้ผลผลิต องค์ประกอบผลผลิต และปริมาณความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนที่สะสมในผลผลิตหัวสดของมันสำปะหลังโดยภาพรวมดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใส่ปุ๋ยประเภทละลายเร็ว ภายหลังการทดลอง พบว่า การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปลดปล่อยช้าสูตร 40-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ (CRCF<sub>50</sub>, T<sub>7</sub>) มีผลให้ค่า EC<sub>e</sub> ของดินมากที่สุด ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับการใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตอัตรา 95.24 กิโลกรัม/ไร่ (AS<sub>95.24</sub>, T<sub>5</sub>) และการใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 43.48 กิโลกรัม/ไร่ (U<sub>43.48</sub>, T<sub>6</sub>) นอกจากนี้ การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปลดปล่อยช้าสูตร 40-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ (CRCF<sub>50</sub>, T<sub>7</sub>) ยังมีผลให้ปริมาณอินทรียวัตถุของดินมากที่สุด ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับการใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตอัตรา 95.24 กิโลกรัม/ไร่ (AS<sub>95.24</sub>, T<sub>5</sub>) การใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 43.48 กิโลกรัม/ไร่ (U<sub>43.48</sub>, T<sub>6</sub>) การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปลดปล่อยช้าสูตร 40-0-0 อัตรา 40 กิโลกรัม/ไร่ (CRCF<sub>40</sub>, T<sub>4</sub>) และการใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 34.78 กิโลกรัม/ไร่ (U<sub>34.78</sub>, T<sub>3</sub>) อย่างไรก็ตาม ทุกตำรับทดลองที่มีการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนชนิดต่างๆ มีผลให้ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ของดินใกล้เคียงกัน และแตกต่างกันทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับตำรับควบคุม (control : T<sub>1</sub>) ซึ่งมีผลให้ค่า EC<sub>e</sub> ปริมาณอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และโซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้ของดินต่ำที่สุด</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/676 การศึกษาความรุนแรงของเชื้อราสาเหตุโรคของแมลงเพื่อควบคุมแมลงพาหะ (เพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาล)โรคใบขาวอ้อย 2023-11-10T10:27:30+07:00 ณิชานันท์ เกินอาษา agropk@ku.ac.th <p>เชื้อราที่ก่อโรคในแมลงคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นปรสิตและฆ่าแมลงศัตรูพืช พบได้หลากหลายสายพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น <em>Beauveria bassiana</em>, <em>Purpureocillium lilacinum</em> และ <em>Metarhizium anisopliae</em> เป็นสายพันธุ์ที่มีงานวิจัยอย่างกว้างขวางถึงศักยภาพในการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรุนแรงของเชื้อราเขียว <em>M. anisopliae</em> ที่แยกจากด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นอ้อย <em>B. bassiana</em> และ <em>P. lilacinum</em> ที่แยกจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต่อการควบคุมเพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาล ประเมินการก่อโรคกับตัวเต็มวัยเพลี้ยจักจั่นจุลายดสีน้ำตาล ทดสอบความเข้มข้น 5 ระดับใน 1 ×10<sup>5 </sup>, 1×10<sup>6 </sup>, 1×10<sup>7</sup> , 1×10<sup>8</sup> และ 1x10<sup>9 </sup>โคนิเดียต่อมิลลิลิตร เก็บผลทุกๆ วัน สังเกตการตายของแมลง เป็นเวลา 7 วัน ผลการวิจัยพบว่าเชื้อราทั้งสามชนิดที่ระดับความเข้มข้น 1 × 10<sup>9</sup> โคนิเดียต่อมิลลิลิตร ทำให้เพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาลมีอัตราการตายสูงที่สุด โดยเชื้อรา <em>B. bassiana</em> ทำให้เกิดอัตราการตาย 97.6% เชื้อรา <em>P. lilacinum</em> ทำให้เกิดอัตราการตาย 95.56% และเชื้อรา <em>M. anisopliae</em> ทำให้เกิดอัตราการตาย 95% หลังจากปลูกเชื้อ 7 วัน เชื้อราทำให้ค่า LC50 ต่ำกว่าใน<em> B. bassiana</em> (2.90 × 10<sup>5</sup> โคนิเดียต่อมิลลิลิตร) ใน <em>P. lilacinus</em> (3.76 × 10<sup>5</sup> โคนิเดียต่อมิลลิลิตร) และใน <em>M. anisopliae</em> (7.39 × 10<sup>6</sup> โคนิเดียต่อมิลลิลิตร) ตามลำดับ ในเพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาลตัวเต็มวัย จากผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า การใช้เชื้อราที่ก่อโรคในแมลงมีประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาลได้ในระดับสูง และด้วยวิธีนี้ปราศจากมลภาวะจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการควบคุมแมลงศัตรูพืชเพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาลโดยชีววิธี</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/735 การพัฒนาตัวแบบการพยากรณ์ผลผลิตลำไยรายแปลงโดยใช้เทคนิคการทำเหมืองข้อมูล 2024-01-17T09:06:03+07:00 วินัย บังคมเนตร winai-b@mju.ac.th <p>งานวิจัยนี้นำเสนอตัวแบบการพยากรณ์ปริมาณผลผลิตลำไยโดยใช้เทคนิคเหมืองข้อมูลใช้ข้อมูลการผลิตลำไยในฤดูของเกษตรกรผู้ผลิตลำไยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูนและจังหวัดพะเยา จำนวน 215 แปลง ปีพ.ศ.2564 ด้วยเทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ และกฎความสัมพันธ์ พบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตลำไยจากโมเดลการพยากรณ์คือ เดือนที่ใส่สารกระตุ้นการออกดอกและประเภทของสารกระตุ้นการออกดอกซึ่งพบว่าเมื่อใช้สารโซเดียมคลอเรตจะมีค่าพยากรณ์ปริมาณผลผลิตในระดับปานกลางขึ้นไปพิจารณาจากกฎความสัมพันธ์ที่มีค่าความเชื่อมั่นในลำดับที่ 1 และ 2 สอดคล้องกับกฎความสัมพันธ์ของข้อมูลในกฎที่ 1 แปลงที่มีการใช้สารโซเดียมคลอเรต ในเดือนธันวาคม จำนวน 85 แปลง จะได้ผลผลิตในระดับปานกลาง 53 แปลง ที่ระดับความเชื่อมั่น 62% และกฎที่ 2 พบว่าแปลงที่มีการใช้สารโซเดียมคลอเรต จำนวน 110 แปลง จะได้ผลผลิตในระดับปานกลาง 68 แปลง ที่ระดับความเชื่อมั่น 62%</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/824 การค้นหาลักษณะทางสัณฐานวิทยา-กายวิภาคที่เกี่ยวข้องกับการหักล้มของลำต้นและการสูญเสียผลผลิตภายใต้การเก็บเกี่ยวล่าช้าในข้าวลูกผสม (Oryza sativa L.) 2024-04-11T11:16:58+07:00 Myo Myo Aye myoayedar@gmail.com สามารถ วันชะนะ samart.wan@biotec.or.th กัญญณัช ศิริธัญญา pattama1960@hotmail.com ธีรยุทธ ตู้จินดา theerayut@biotec.or.th วันชนะ เอ้สมนึก waesomnuk@gmail.com ศรีสวัสดิ์ ขันทอง srisawat.kha@biotec.or.th เรธิณี นกน้อย rethinee.n@gmail.com ชเนษฎ์ ม้าลำพอง agrcnm@ku.ac.th มีชัย เซี่ยงหลิว meechai@biotec.or.th <p>ปัญหาการหักล้มของต้นข้าวในระยะเก็บเกี่ยวส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเก็บเกี่ยวข้าวล่าช้าเนื่องจากต้นข้าวแสดงอาการหักล้มง่ายและถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่พบเจอเสมอ แม้มีการนำรถเกี่ยวข้าวเข้ามาช่วยในกระบวนการเก็บเกี่ยว เนื่องจากเป็นเรื่องยากต่อการบริหารจัดการการเก็บเกี่ยวในระยะอายุของข้าวที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีข้าวลูกผสมซึ่งมีแนวโน้มที่จะหักล้มง่ายเนื่องจากความสูงของต้นข้าวลูกผสม ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางสัณฐานวิทยา-กายวิภาค และผลผลิตข้าวกับการหักล้มของข้าวในสายพันธุ์ข้าวลูกผสม F<sub>1</sub> จำนวน 87 สายพันธุ์ที่ปลูกภายใต้สภาวะการเก็บเกี่ยวแบบล่าช้าและการเก็บเกี่ยวตรงเวลา พบค่าคะแนนการหักล้มของลูกผสม F<sub>1</sub> ภายใต้สภาวะเก็บเกี่ยวล่าช้า (3.5-7.0) มีค่าสูงกว่าค่าคะแนนการหักล้มภายใต้สภาวะเก็บเกี่ยวตรงเวลา (1.0-4.0) และพบผลผลิตเฉลี่ยจากการเก็บเกี่ยวล่าช้าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับการเก็บเกี่ยวตรงเวลา (68 กรัม/ต้นในการเก็บเกี่ยวตรงเวลา และ 6 กรัม/ต้นในการเก็บเกี่ยวล่าช้า) ในด้านปัจจัยสภาพแวดล้อมพบว่าความถี่ของฝนและความเร็วลมในช่วงการเก็บเกี่ยวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นข้าวมีการหักล้ม จากการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางพบว่าผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายโดยตรงจากการหักล้ม และพบความสูงของต้นมีผลโดยตรงต่อกับการหักล้มของข้าวภายใต้ทั้งสองสภาวะ นอกจากนี้ยังพบว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของฐานลำต้นมีผลโดยตรงต่อการหักล้มมากที่สุด รองลงมาคือพื้นที่เนื้อเยื่อด้านบน เนื้อเยื่อพาเรนไคมาที่ลำต้นส่วนล่าง และพื้นที่วาสคิวลาบัลเดนที่ลำต้นส่วนล่าง โดยพบเพิ่มเติมเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นส่วนบนยังส่งผลกระทบเชิงบวกโดยตรงจากการหักล้ม สรุปได้ว่าการลดความสูงของต้น การเพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นและความหนาของผนังลำต้นในข้าวลูกผสมมีแนวโน้มที่จะสามารถลดการสูญเสียผลผลิตในข้าวลูกผสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และสามารถนำมาปรับใช้ในโปรแกรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวได้ อย่างไรก็ตามการเก็บเกี่ยวข้าวในเวลาที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเพื่อลดการสูญเสียผลผลิต</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/826 แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ กลุ่มข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-04-11T13:47:12+07:00 เบญจวรรณ สิลินทา yospure@gmail.com ยศ บริสุทธิ์ yosboris@kku.ac.th <p>การศึกษานี้มุ่งทำความเข้าใจบริบทและค้นหาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ ของกลุ่มข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบ้านสนวนนอก ตำบลสนวน อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ โดยทำการศึกษา 2 ระยะ คือ (ก) บริบทการผลิต การแปรรูป และการตลาดข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ซึ่งเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของกลุ่ม โดยใช้เทคนิคการประเมินสภาวะชนบทแบบเร่งด่วน ระหว่างตุลาคม 2565 - มกราคม 2566 และ (ข) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ของกลุ่ม โดยใช้เทคนิคเทคนิค AIC ในเดือนมีนาคม 2566 ตามลำดับ พบว่า (1) บ้านสนวนนอก ปลูกข้าวในฤดูนาปีเท่านั้น โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟ 325 ไร่ ใช้พันธุ์ขาวดอกมะลิ105 และ กข15 ผลผลิตรวม 146 ตันต่อปี ซึ่งผลผลิตร้อยละ 68 จำหน่ายในรูปแบบของข้าวเปลือกให้กับโรงสีและสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ ส่วนที่เหลือจำหน่วยเป็นข้าวสารร้อยละ 20 บริโภคเองร้อยละ 7 และใช้เป็นพันธุ์ร้อยละ 5 (2) แนวทางการพัฒนาการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ของกลุ่ม ซึ่งสามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ (2.1) การสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟด้วยการพัฒนาการผลิต การแปรรูป การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และตราสินค้า ซึ่งมีแนวทางย่อย 2 แนวทาง ได้แก่ (ก) การพัฒนาการผลิตระดับไร่นา และ (ข) การพัฒนาการแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และตราสินค้า และ (2.2) การสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟด้วยการพัฒนาการตลาด ซึ่งมีแนวทางย่อย 2 แนวทาง ได้แก่ (ก) พัฒนาการตลาดเชิงรุก และ (ข) พัฒนาการตลาดชุมชน ดังนั้น ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวทางข้างต้น จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวคิด BCG และการใช้พลังละมุนในการขับเคลื่อนการพัฒนาโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/833 ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการการส่งเสริมการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพของเกษตรกร ในตำบลวังชะพลู อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร 2024-04-18T14:31:36+07:00 พัชรีพร ใจหลัก patchareepornjailak@gmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th บำเพ็ญ เขียวหวาน Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมบางประการของเกษตรกร (2) ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการการส่งเสริมการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพ และ (3) ปัญหาและข้อเสนอแนะของเกษตรกรเกี่ยวกับการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพ ประชากรในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในตำบลวังชะพลู อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ปีการผลิต 2565/2566 จำนวน 325 ราย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตร Taro Yamane ที่ความคลาดเคลื่อน 0.05 ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 180 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า (1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 50.06 ปี มีแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 2.36 คน รายได้จากการขายมันสำปะหลังสุทธิเฉลี่ย 7,047.22 บาทต่อไร่ ต้นทุนเฉลี่ย 3,771.11 บาทต่อไร่ (2) ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการการส่งเสริมการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพ ได้แก่ ตัวแปรปัญหาด้านการผลิต และตัวแปรปัญหาด้านสนับสนุนและบริการ ที่มีผลเชิงบวกต่อตัวแปรตาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ (3) ปัญหาของเกษตรกร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการผลิตและด้านสนับสนุนและบริการ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ควรสนับสนุนความรู้ด้านการผลิตท่อนพันธุ์ และมีการประกันราคาผลผลิต</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/834 แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าแม่น้ำโขงของวิสาหกิจชุมชนคกมาดพัฒนา อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2024-04-19T14:59:05+07:00 วิศณีย์ ทำสี yospure@gmail.com ยศ บริสุทธิ์ yosboris@kku.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อค้นหาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าแม่น้ำโขงของวิสาหกิจชุมชุมชนคกมาดพัฒนา อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยระยะที่ 1 ทำความเข้าใจบริบทชุมชนและวิสาหกิจชุมชนโดยประยุกต์เทคนิคการประเมินสภาวะชนบทอย่างเร่งด่วนในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565 และ ระยะที่ 2 ค้นหาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าแม่น้ำโขงของวิสาหกิจชุมชน โดยประยุกต์เทคนิค AIC ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่า (1) ชุมชนบ้านคกมาด มีการทำประมง 2 รูปแบบคือ การหาปลาตามธรรมชาติในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเลย ปริมาณ 5 ตันต่อปี และการเลี้ยงปลานิลกระชังในแม่น้ำโขง ปริมาณ 30 ตันต่อปี วิสาหกิจชุมชนคกมาดพัฒนามีการนำปลานิลที่เลี้ยงในกระชัง กว่า 1 ตันต่อปี และปลาธรรมชาติจากแม่น้ำโขงและแม่น้ำเลย กว่า 0.5 ตันต่อปี มาแปรรูปขั้นต้นเป็นปลาร้าเท่านั้น โดยส่วนมากจำหน่ายในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง และ (2) แนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าแม่น้ำโขงของวิสาหกิจชุมชน มีแนวทางหลัก 2 แนวทาง ได้แก่ (2.1) การสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าด้วยการแปรรูปปลาร้าและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และ (2.2) การสร้างมูลค่าเพิ่มปลาร้าด้วยการพัฒนาการตลาด ทั้งการตลาดดิจิทัล และการตลาดหน้าร้านและ<br />อีเว้นท์ ดังนั้น ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตาม 2 แนวทางข้างต้น จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนบ้านคกมาดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยใช้ soft power หรือพลังละมุนหรืออำนาจละมุนและชุมชนเป็นฐานในการพัฒนา</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/863 สารประกอบซีลีเนียมต่อการงอกและสารพฤกษเคมีของต้นกล้าผักบุ้งจีน 2024-05-13T08:25:16+07:00 ปิยะพงษ์ แสนโคตร faasprr@ku.ac.th อินทิรา ขูดแก้ว faasprr@ku.ac.th ศุภชัย อำคา faasprr@ku.ac.th พรไพรินทร์ รุ่งเจริญทอง faasprr@ku.ac.th <p>ซีลีเนียมเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสุขภาพมนุษย์ มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดและความเข้มข้นของซีลีเนียมต่อการงอก การเจริญเติบโต สารพฤกษเคมี และการสะสมซีลีเนียมในต้นกล้าผักบุ้ง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์จัดสิ่งทดลองแบบ 2×5 Factorial ประกอบด้วย 2 ปัจจัย จำนวน 4 ซ้ำ โดยปัจจัยที่ 1 (Se) คือ ชนิดของซีลีเนียม ได้แก่ โซเดียมซีลีไนต์และโซเดียมซีลีเนต ปัจจัยที่ 2 (C) คือ ซีลีเนียมที่ความเข้มข้น 0 5 10 15 และ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร บันทึกข้อมูล การงอก การเจริญเติบโต สารพฤกษเคมี และการสะสมซีลีเนียมในต้นกล้าผักบุ้ง ผลการทดลองพบว่า การให้โซเดียมซีลีไนต์ความเข้มข้น 10 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งเสริมดัชนีการงอก น้ำหนักแห้ง และปริมาณรงควัตถุเพิ่มขึ้นมากกว่าชุดควบคุม ในขณะที่การให้โซเดียมซีลีเนตความเข้มข้น 15-30 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งผลเชิงลบต่อดัชนีการงอกและการเจริญเติบโต แต่มีผลให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ สารประกอบฟีนอล และการสะสมซีลีเนียมเพิ่มขึ้นมากกว่าชุดควบคุม</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/844 การรับรู้ถึงผลกระทบของการเผาตอซังข้าวและฟางข้าวของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ 2024-05-30T14:12:43+07:00 ลาวัลย์ อินทะจักร lawan.in@ku.th จิรัฐินาฏ ถังเงิน agrjnt@ku.ac.th คนึงรัตน์ คนึงรัตน์ agrkrk@ku.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร 2) การรับรู้ถึงผลกระทบของการเผาตอซังข้าวและฟางข้าวของเกษตรกร 3) ความรู้และการปฏิบัติในการจัดการตอซังข้าวและฟางข้าว 4) ปัญหาในการจัดการตอซังข้าวและฟางข้าว กลุ่มตัวอย่างในการทำวิจัย ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 375 ราย ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการทำวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test และ one - way ANOVA ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรเป็นเพศหญิง ร้อยละ 62.40 มีอายุเฉลี่ย 52.95 ปี จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 63.70 มีประสบการณ์เฉลี่ย 24.57 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารจากผู้นำชุมชน ร้อยละ 87.00 การรับรู้ถึงผลกระทบของการเผาตอซังข้าวและฟางข้าวภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เกษตรกรส่วนใหญ่มีความรู้ในการจัดการตอซังข้าวและฟางข้าวในระดับมาก ร้อยละ 80.00 สำหรับการปฏิบัติในการจัดการตอซังข้าว พบว่า เกษตรกรมีการไถกลบตอซังข้าวและฟางข้าวมากที่สุด ร้อยละ 30.30 เกษตรกรพบปัญหาการสนับสนุนจากภาครัฐมากที่สุด ร้อยละ 21.70 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เกษตรกรที่มีอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มีระดับการรับรู้ถึงผลกระทบของการเผาตอซังข้าวและฟางข้าวที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/858 การปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในพื้นที่อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ 2024-06-05T09:12:46+07:00 สุนิภา ใจงาม sunipa.ch@ku.th จิรัฐินาฏ ถังเงิน agrjnt@ku.ac.th คณึงรัตน์ คำมณี agrkrk@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะทั่วไปด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปลูกข้าวของเกษตรกร 2) ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 4) การปรับตัวของเกษตรกรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 370 ราย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 51.08) อายุเฉลี่ย 53.15 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า (ร้อยละ 64.86) สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่ม (ร้อยละ 76.49) โดยภาพรวมเกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 71.62) ผลกระทบที่เกษตรกรได้รับจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด คือ อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลทำให้ความชื้นในดินลดลง (ค่าเฉลี่ย 2.46) ผลการศึกษาด้านการปรับตัวของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านเทคนิคการผลิตสูงที่สุด (ร้อยละ 99.46) รองลงมาคือ ด้านการจัดการระบบน้ำ (ร้อยละ 74.05) และการประกันความเสี่ยง (ร้อยละ 68.65) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความรู้ และการได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวของเกษตรกรจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/871 บทบาทการดำเนินโครงการยุวเกษตรกรของสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิ 2024-05-16T10:15:02+07:00 วนศักดิ์ เกื้อหนุน puking2475@gmail.com สุกัลยา เชิญขวัญ sukanl@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษา 1) ข้อมูลพื้นฐานของสมาชิกยุวเกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิ 2) บทบาทการดำเนินโครงการยุวเกษตรกรของสมาชิกยุวเกษตรกร และ 3) เปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมบางประการของสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิ ต่อบทบาทการดำเนินโครงการยุวเกษตรกร เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างจากสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรจังหวัดชัยภูมิ 95 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 63.20) มีอายุเฉลี่ย 16.97 ปี ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ร้อยละ 68.40) ผู้ปกครองมีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก (ร้อยละ 55.80) ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลและลงมือปฏิบัติกิจกรรม (ร้อยละ 89.47) และได้รับความรู้มาจากครูที่ปรึกษา (ร้อยละ 74.74) บทบาทการดำเนินโครงการ ยุวเกษตรกรทั้ง 4 ด้านมีบทบาทอยู่ในระดับปานกลาง ประกอบด้วย บทบาทด้านการผลิต (ค่าเฉลี่ย 1.79) บทบาทด้านการพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 1.79) บทบาทด้านการจัดการกลุ่ม (ค่าเฉลี่ย 1.72) และบทบาทด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (ค่าเฉลี่ย 1.61) การเปรียบเทียบบทบาทต่อการดำเนินโครงการยุวเกษตรกร พบว่า สมาชิกยุวเกษตรกรที่มีอาชีพหลักของผู้ปกครอง และระยะเวลาการเป็นสมาชิกของกลุ่มยุวเกษตรกรที่แตกต่างกัน มีบทบาทต่อการดำเนินโครงการยุวเกษตรกรของสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรที่แตกต่างกัน</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/868 ผลของอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และเอทิฟอน ต่อการแตกของอับเรณูมะพร้าวน้ำหอม และความเข้มข้นของอาหารต่อการงอกของละอองเรณู 2024-05-14T11:25:20+07:00 สมปรารถนา หนักแดง somprattana.n@ku.th ธีร์ หะวานนท์ tee.h@ku.th กฤษณา กฤษณพุกต์ agrknk@ku.ac.th เกียรติสุดา เหลืองวิลัย kietsuda.l@ku.ac.th <p>มะพร้าวน้ำหอมมีผลผลิตเก็บเกี่ยวได้น้อยช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจเกิดจากในช่วงฤดูฝน อับเรณูไม่แตก จึงไม่มีการปล่อยละอองเรณูออกมา ดอกเพศเมียจึงไม่ได้รับการผสม และทำให้ไม่ได้ผลผลิตในอีก 7 เดือนต่อมา ซึ่งตรงกับช่วงที่ผลผลิตมะพร้าวน้อย มีรายงานว่า ความชื้น อุณหภูมิ และเอทิลีน ส่งผลต่อการแตกของอับเรณู แต่ยังไม่มีรายงานในมะพร้าวน้ำหอม ดังนั้นการทดลองนี้จึงศึกษาอิทธิพลของอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่ส่งผลต่อการแตกของอับเรณูมะพร้าวน้ำหอมในสภาพห้องปฏิบัติการ และการเร่งการแตกของอับเรณูด้วยเอทิฟอน จากการศึกษาพบว่า ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 60±10 เปอร์เซ็นต์ อับเรณูสามารถแตกได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังเริ่มทดลอง และแตกได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ในชั่วโมงที่ 11 ส่วนสภาพอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90±5 เปอร์เซ็นต์ อับเรณูแตกได้น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ แม้ทดสอบนาน 24 ชั่วโมง นอกจากนั้นสารละลายเอทิฟอนความเข้มข้น 25–75 มิลลิลิตร/ลิตร กระตุ้นให้อับเรณูสามารถแตกได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ในชั่วโมงที่ 14 และที่ความเข้มข้น 100 มิลลิลิตร/ลิตร ไม่ทำให้อับเรณูไม่แตกแต่กลับทำให้ร่วงไป นอกจากนั้น เมื่อทดสอบการงอกในอาหารสังเคราะห์ที่เจือจางลง 3 เท่า ซึ่งเป็นสภาพสถานการณ์จำลองการชะละลายของสารเหนียวบนยอดเกสรเพศเมียโดยน้ำฝน พบว่าการงอกของละอองเรณู เหลือน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/882 การใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอชนิด SRAP ในการจำแนกเส้นใย เห็ดสกุลนางรม และเห็ดถั่งเช่าสีทอง 2024-05-30T08:41:13+07:00 เพ็ญแข รุ่งเรือง penkhae@hotmail.co.th อดิศักดิ์ แก้วคำ adisak.ka@ku.th สนธิชัย จันทร์เปรม agrsrc@ku.ac.th เสริมศิริ จันทร์เปรม agrsrc@gmail.com <p>เห็ดสกุลนางรมและสกุลถั่งเช่าเป็นเห็ดที่มีประโยชน์ทางโภชนการและสรรพคุณทางยา และเป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยเห็ดสกุลนางรมปลูกเลี้ยงง่ายและราคาไม่แพง ส่วนเห็ดถั่งเช่าต้องเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อและมีราคาสูง แม้ว่าการจำแนกเห็ดทั้งสองสกุลนี้สามารถจำแนกได้ด้วยลักษณะทางสัณฐานวิทยาในระยะเกิดดอก แต่ในระยะการเจริญเป็นเส้นใยในระยะเริ่มแรกนั้นเส้นใยเห็ดทั้งสองสกุลมีความคล้ายคลึงกันทำให้ยากต่อการจำแนก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอชนิด SRAP สำหรับตรวจสอบความแตกต่างของเห็ดสกุลนางรมและสกุลถั่งเช่าในระยะเส้นใย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์เห็ดเหล่านี้โดยวิธีการรวมโปรโตพลาสต์ โดยได้ศึกษาในเห็ดสกุลนางรม 2 ชนิด ได้แก่ เห็ดนางฟ้า และเห็ดนางฟ้าภูฏาน และเห็ดสกุลถั่งเช่า 1 ชนิด ได้แก่ เห็ดถั่งเช่าสีทอง โดยใช้คู่ไพรเมอร์จำนวน 100 คู่ (Me1-10/Em1-10) ผลการทดลองพบว่า มีไพรเมอร์ที่สามารถใช้แยกความแตกต่างระหว่างเห็ดนางฟ้ากับเห็ดถั่งเช่าสีทอง และระหว่างเห็ดนางฟ้าภูฏานกับเห็ดถั่งเช่าสีทอง จำนวนอย่างละ 57 คู่ไพรเมอร์ และไพรเมอร์ที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเห็ดนางฟ้าและเห็ดนางฟ้าภูฏาน มีจำนวน 33 คู่ ส่วนไพรเมอร์ที่สามารถใช้ในการตรวจสอบความแตกต่างระหว่างเห็ดทั้งสามชนิดได้มีจำนวน 16 คู่</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/891 ดัชนีบ่งชี้ความหวานของน้ำมะพร้าว 2024-06-17T11:03:10+07:00 Naoki Hiraiwa hiraiwa.naoki.82z@st.kyoto-u.ac.jp อุชุกร ลีสุขสาม uchukorn.le@ku.th กมลวรรณ แสงสร้อย kamonwan.sangso@ku.th ธีร์ หะวานนท์ tee.h@ku.th เกียรติสุดา เหลืองวิลัย kietsuda.l@ku.ac.th <p>รสหวานเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับความพอใจของผู้บริโภคน้ำมะพร้าวน้ำหอม ในการศึกษานี้ ผู้วิจัยได้นำมะพร้าวน้ำหอมจำนวน 290 ผล มาวิเคราะห์ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (SSC<strong>) </strong>ค่าปริมาณกรดที่สามารถไทเทรตได้ (TA<strong>) </strong>ความหนาของเนื้อ (FT<strong>) </strong>และคุณภาพทางประสาทสัมผัส และคำนวณค่า BrimA ซึ่งเป็นค่าที่แสดงความแตกต่างระหว่าง SSC และ TA เป็นตัวบ่งชี้ของรสหวานของน้ำมะพร้าว พบว่าความหวานในน้ำมะพร้าวมีความสัมพันธ์สูงสุดกับ BrimA<strong> (</strong><em>r</em>=0.70<strong>) </strong>รองลงมาคือ SSC/TA (<em>r</em> = 0.54), TA (<em>r</em> = -0.51) และ SSC<strong> (</strong><em>r</em> = 0.41<strong>) </strong>นอกจากนั้นเมื่อนำค่า SSC, TA และ FT ไปสร้างโมเดลทำนายด้วยวิธี stepwise discriminant analysis โมเดลที่ได้ สามารถทำนายความหวานได้แม่นยำ 70.78 %<strong> </strong>จากตัวแปรที่ใช้ทำนายในโมเดลนี้ ได้แก่ BrimA และ TA พบว่าสามารถทำนายน้ำมะพร้าวกลุ่มที่ไม่หวาน ถูกต้อง 61 % และทำนายกลุ่มหวาน ถูกต้อง 78 %</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management