https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
2025-07-30T15:03:45+07:00
Chonnatcha Tonthong,ชลณัฐชา ตันทอง
chonnatcha.tob@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่</strong><strong> : </strong></p> <p>วารสารกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ และตีพิมพ์ทุก ๆ 4 เดือน/ปี </p> <p>ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความทางด้านเกษตรศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่</p> <p> 1. สาขาพืชไร่นา</p> <p>2.สาขาพืชสวน</p> <p>3.สาขาปฐพีวิทยา</p> <p>4.สาขาโรคพืช</p> <p>5.สาขากีฎวิทยา</p> <p>6.สาขาสัตวศาสตร์</p> <p>7.สาขาเกษตรกลวิธาน</p> <p>8.สาขาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร</p> <p>9.สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <h4><strong>วัตถุประสงค์ </strong></h4> <p><strong><span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อส่งเสริม พัฒนา และยกระดับการผลิตผลงานวิจัย ตลอดจนเพิ่มทางเลือกให้กับบุคลากรวิจัยและนิสิตในการพิจารณาส่งผลงานวิจัยลงตีพิมพ์/ เผยแพร่</span></strong></p> <p><strong>การตอบรับบทความ</strong></p> <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการต้องผ่านการประเมินจาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน</strong> <strong>แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</strong> และผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตอบรับการตีพิมพ์จำนวน 2 ท่านจากจำนวน 3 ท่าน เมื่อผ่านการประเมินแล้ว กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขเรื่องที่ส่งพิมพ์ตามที่เห็นสมควร และไม่รับพิจารณาต้นฉบับที่ไม่เป็นตามหลักเกณฑ์การตีพิมพ์ของวารสารฯ</p> <p>*กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจและแก้ไขบทความที่เสนอเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ</p> <p>*The Editorial Board Claims a right to review and correct all articles submitted for publishing</p> <p>กองบรรณาธิการวารสาร <strong>ไม่มีนโยบายเรียกเก็บค่าทำเนียมการตีพิมพ์บทความในทุกขั้นตอน (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ</strong></p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/686
สมบัติของวัสดุปลูกต่อความต้องการน้ำของกัญชาในสภาพโรงเรือน
2023-10-20T09:48:36+07:00
รัฐกร สืบคำ
ratgonsuebkam@gmail.com
อนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์
ratgonsuebkam@gmail.com
พัชรินทร์ นามวงษ์
ratgonsuebkam@gmail.com
วุฒิ ศรีวิชัย
ratgonsuebkam@gmail.com
<p>สมบัติของวัสดุปลูกต่อความต้องการน้ำของกัญชาในสภาพโรงเรือนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมบัติทางกายภาพของวัสดุปลูกต่อการคายน้ำแท้จริงของกัญชา และการคายน้ำของพืชอ้างอิง เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของกัญชาโดยวิธีการชั่งน้ำหนัก พบว่าสมบัติของวัสดุปลูกที่ประกอบด้วย พีทมอส : เพอร์ไลท์ : เวอร์มิคูไลท์ อัตราส่วน 50:25:25 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก มีการระบายน้ำของวัสดุเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของกัญชาและสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของกัญชาที่ปรับแต่งแล้วในช่วงระยะการเจริญเติบโตเริ่มต้น การเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ และระยะการเจริญเติบโตจนถึงเริ่มออกดอกเฉลี่ยเป็น 3.34, 6.08 และ 10.6 ตามลำดับ สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของกัญชาที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ความสูง ความกว้างทรงพุ่ม และขนาดลำต้น เมื่อระยะการเจริญเติบโตเริ่มต้นเฉลี่ยเท่ากับ 40.6, 25.3 และ 3.2 เซนติเมตร ตามลำดับ ตามด้วยการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบเฉลี่ยเท่ากับ 135.8, 96.1 และ 12.6 เซนติเมตร ตามลำดับ และระยะการเจริญเติบโตจนถึงเริ่มออกดอกเฉลี่ย 187.4, 126.4 และ 18.4 เซนติเมตร ตามลำดับ ที่ได้จากสมการสมดุลน้ำของการคายน้ำแท้จริงของกัญชา (ETc) และการคายน้ำของพืชอ้างอิง (ETo) จากสมการ Penman-Monteith เท่ากับ 2,323.4 และ 337.5 มิลลิเมตรตามลำดับ</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/697
อิทธิพลของขี้แดดนาเกลือที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของเบบี้แครอท
2023-12-15T08:58:31+07:00
ชมดาว ขำจริง
chomdao2526@gmail.com
วินิทรา พ่วงพรม
Chomdao2526@gmail.com
นิจรินทร์ทร สมจิต
Chomdao2526@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของขี้แดดนาเกลือที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของเบบี้แครอท วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 4 ตำหรับทดลอง ๆ ละ 4 ซ้ำ ๆ ละ 10 ต้น โดยปลูกเบบี้แครอทลงในกระถางขนาด 10 นิ้ว เมื่อเบบี้แครอทมีอายุครบ 20 วัน ทำการถอนแยก แล้วใส่ปุ๋ยเคมีครั้งที่ 1 สูตร 15-15-15 ปริมาณ 1 กรัมต่อกระถาง หลังจากนั้น 20 วัน ทำการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ตามตำหรับทดลอง ดังนี้ คือ 1) ชุดควบคุม (ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 ปริมาณ 1 กรัมต่อกระถาง) 2) ขี้แดดนาเกลือ 39 กรัมต่อกระถาง 3) ขี้แดดนาเกลือ 46 กรัมต่อกระถาง และ 4) ขี้แดดนาเกลือ 54 กรัมต่อกระถาง ผลการศึกษาพบว่า เบบี้แครอทที่ได้รับปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 มีการเจริญเติบโต และผลผลิตดีที่สุด ส่วนเบบี้แครอทที่ได้รับขี้แดดนาเกลือ 39 กรัมต่อกระถาง มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ดีที่สุด</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/682
เทคนิคการขยายพันธุ์นรีรัตน์ (Petrocosmea pubescens) พืชถิ่นเดียวของไทยในสภาพปลอดเชื้อ
2023-10-19T16:26:59+07:00
พัฒน์นรี รักษ์คิด
padnaree.r@gmail.com
พัชร ปิริยะวินิตร
phat87_ka@yahoo.com
ปราโมทย์ ไตรบุญ
tribountree@gmail.com
<p>นรีรัตน์เป็นพืชถิ่นเดียวของไทยพบได้เฉพาะที่ดอยตุง จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature, IUCN) ได้จัดสถานภาพให้อยู่ในระดับพืชที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ จึงได้นำเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มจำนวนประชากรเพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมพืชชนิดนี้ งานวิจัยนี้ได้ศึกษาการเพิ่มปริมาณต้นนรีรัตน์ในสภาพปลอดเชื้อโดยศึกษาวิธีการและชิ้นส่วนที่เหมาะสำหรับฟอกฆ่าเชื้อ พบว่าการฟอกฆ่าเชื้อเมล็ดนรีรัตน์โดยนำฝักแก่จุ่มในเอทานอล 95 เปอร์เซ็นต์ และลนผ่านไฟ แล้วเพาะเลี้ยงเมล็ดจะได้ชิ้นส่วนที่ปลอดเชื้อและสามารถเจริญเติบโตเป็นต้นที่สมบูรณ์ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ และศึกษาผลของชนิดและความเข้มข้นของสารควบคุมการเจริญเติบโตในอาหารเพาะเลี้ยงต่อการชักนำให้เกิดยอดจากชิ้นส่วนใบในสภาพปลอดเชื้อ พบว่าสูตรอาหารที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงชิ้นส่วนใบของต้นนรีรัตน์ในสภาพปลอดเชื้อคือ อาหารสูตร MS ที่เติม IBA ความเข้มข้น 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยสามารถชักนำยอดได้มากที่สุดเฉลี่ย 16 ยอดต่อชิ้นส่วน เมื่อเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 3 เดือน</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/678
เทคนิคการขยายและอนุรักษ์พันธุกรรมมันสาคู (Maranta arundinacea L.) ในสภาพปลอดเชื้อ
2023-10-19T15:42:50+07:00
พัชร ปิริยะวินิตร
phat87_ka@yahoo.com
พัฒน์นรี รักษ์คิด
padnaree1@yahoo.com
ปาริฉัตร สังข์สะอาด
psangkasaad@yahoo.com
<p>มันสาคูเป็นพืชให้แป้งที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำซึ่งมีศักยภาพพัฒนาเป็นอาหารสุขภาพ จึงได้ศึกษาการขยายพันธุ์และอนุรักษ์พันธุกรรมมันสาคูด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนตาจากหน่อด้วย<br />เอทานอลความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ นาน 10 วินาที ตามด้วยคลอรอกซ์ ความเข้มข้น 20 และ 25 เปอร์เซ็นต์ นาน 15 และ 5 นาที ตามลำดับ พบเนื้อเยื่อปลอดการปนเปื้อนของเชื้อ 16.7 เปอร์เซ็นต์ การขยายพันธุ์โดยนำยอดอ่อนในสภาพปลอดเชื้ออายุประมาณ 6 สัปดาห์ ขนาด 2 เซนติเมตร เพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร Murashige and Skoog (MS) ที่เติม Naphthalene acetic acid (NAA) ความเข้มข้น 0, 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ร่วมกับ Benzyladenine (BA) ความเข้มข้น 0, 3.0 และ 6.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่าอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 6.0 มิลลิกรัมต่อลิตร เพียงอย่างเดียวสามารถชักนำให้เกิดยอดได้สูงสุด 5.5 ยอด และเมื่อเพาะเลี้ยงยอดบนอาหารสูตร MS ที่ไม่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโตสามารถชักนำการเกิดรากเฉลี่ยสูงสุด 4.6 ราก และรากยาว 4.49 เซนติเมตร สำหรับการชะลอการเจริญเติบโตโดยเพาะเลี้ยงยอดมันสาคูบนอาหารสูตร MS ที่ลดความเข้มข้น ได้แก่ MS, ½ MS และ ¼ MS ร่วมกับการปรับความเข้มข้นน้ำตาลซูโครส 30, 45 และ 60 กรัมต่อลิตร พบว่าอาหาร ½ MS ที่เติมน้ำตาลซูโครส 60 กรัมต่อลิตร มีอัตราการรอดชีวิตและเจริญเติบโตได้ 96.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเพาะเลี้ยงได้นาน 5 เดือน โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายอาหาร</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/692
คุณสมบัติการทนความร้อนและความสามารถในการสร้างสารพิษพาทูลินของเชื้อราทนความร้อนที่แยกจากดินไร่สับปะรด
2023-10-20T11:13:26+07:00
ธนภูมิ มณีบุญ
thanapoom.m@ku.th
วราภา มหากาญจนกุล
fagiwpm@ku.ac.th
สมศิริ แสงโชติ
agrsrs@ku.ac.th
รัชนี ฮงประยูร
ratchanee.h@ku.th
ชนัญญา ช่วยศรีนวล
rdicnc@ku.ac.th
<p>เชื้อราทนความร้อนเป็นกลุ่มของเชื้อราที่ผลิตแอสโคสปอร์ที่ทนอุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส ได้อย่างน้อย 30 นาที การปนเปื้อนของแอสโคสปอร์เป็นปัญหาสำคัญในกระบวนการพาสเจอร์ไรส์น้ำผลไม้ นอกจากนี้เชื้อราทนความร้อนบางสายพันธุ์ยังผลิตสารพิษซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณสมบัติของเชื้อราที่แยกได้จากตัวอย่างดินในไร่สับปะรดของประเทศไทยจากจังหวัดชลบุรี และจังหวัดกำแพงเพชร ผลการทดลองพบว่ามีเชื้อราทนความร้อนในดินทุกตัวอย่าง เมื่อคัดเลือกเชื้อราจำนวน 60 ไอโซเลท ประกอบด้วยเชื้อรา 5 สกุล ได้แก่ <em>Aspergillus </em>(with a neosartorya morph), <em>Talaromyces, Penicillium</em> (with an eupenicillium morph), <em>Hamigera</em> และ <em>Paecilomyces</em> (with a byssochlamys morph) มาทดสอบการสร้างแอสโคสปอร์ พบว่าเชื้อรา 28 ไอโซเลท สามารถสร้างแอสโคสปอร์ที่ทนความร้อน นอกจากนี้ยังพบว่า <em>Paec. niveus</em> และ <em>P. setosum</em> สามารถผลิตสารพิษพาทูลินในน้ำสับปะรดได้ในปริมาณสูง ประมาณ 110 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าเชื้อราในดินปลูกสับปะรดสามารถผลิตแอสโคสปอร์ที่ทนความร้อนและบางสายพันธุ์สามารถผลิตสารพิษพาทูลิน อาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมเสียของน้ำสับปะรดและผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้อื่นๆ</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/728
ผลของความเค็มต่อสารพฤกษเคมีของกะเพรา 11 หมายเลข ภายใต้สภาพโรงเรือน
2023-12-06T16:59:53+07:00
ธนพงศ์ เง่าพิทักษ์กุล
tanapong.ngo@ku.th
จักรพงศ์ ภิญโญ
jukkrapong.p@ku.ac.th
ณัฐริกา เหลาคำ
agrana@ku.ac.th
วชิรญา อิ่มสบาย
agrwyi@ku.ac.th
อัญมณี อาวุชานนท์
agrana@ku.ac.th
<p>ดินเค็มส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ลดลงของพืช โดยสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการปลูกพืชทนเค็ม งานวิจัยนี้จึงประเมินเชื้อพันธุกรรมกะเพรา 11 หมายเลข ที่ปลูกในสภาพความเค็ม เนื่องจากกะเพราเป็นพืชผักที่มีสรรพคุณและคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ โดยทำการทดลองปลูกกะเพราด้วยสารละลายธาตุอาหารที่มีเกลือ (NaCl) ผสมอยู่ โดยมีค่าการนำไฟฟ้า เท่ากับ 2 (ชุดควบคุม), 4, 6 และ 8 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร ในสภาพโรงเรือน เมื่อเก็บเกี่ยวกะเพราหลังให้สารละลายเกลือ 3 และ 6 สัปดาห์ (HV1 และ HV 2) พบว่า ปริมาณสารพฤกษเคมีขึ้นอยู่กับพันธุ์และระดับความเค็ม สารประกอบฟีนอลิคใน HV1 สูงขึ้นเมื่อได้รับเกลือ และ HV2 สูงขึ้นที่ 6 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร ไม่พบปฏิกิริยาร่วมระหว่างพันธุ์และระดับความเค็มของปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระใน HV 1 และ พบว่า ความเค็มมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสารต้านอนุมูลอิสระน้อย กะเพราส่วนใหญ่ยังรักษาระดับปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระได้ใกล้เคียงกันแม้ให้ความเค็มนาน 6 สัปดาห์ การให้ความเค็มระยะสั้นเป็นผลให้ปริมาณเบต้าแคโรทีนส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นที่ 4 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร ปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมดเพิ่มขึ้นที่ความเค็ม 8 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร และการให้ความเค็มยาวนานมีผลต่อปริมาณเบต้าแคโรทีน และปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมดลดลง</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/704
ผลของอายุการเก็บเกี่ยวต่อคุณภาพผลและอายุหลังเก็บเกี่ยวของอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’
2023-11-01T16:34:32+07:00
เมทินี พลอยเปลี่ยนแสง
metinee.p@gmail.com
ศิรกานต์ ศรีธัญรัตน์
metinee.p@gmail.com
ปณวัตร สิขัณฑกสมิต
panawat.sik@ku.th
<p>การเก็บเกี่ยวอะโวคาโดในช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุหลังเก็บเกี่ยวและคุณภาพผล วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาอิทธิพลของอายุการเก็บเกี่ยวต่อคุณภาพผลและอายุการเก็บรักษาของอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’ ที่ปลูกในพื้นที่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และเก็บเกี่ยวในระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2565 วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ โดยทรีทเมนต์ คือ ระยะเวลาเก็บเกี่ยว ได้แก่130, 135, 140, 145, 150, 155 และ 160 วันหลังดอกบาน กำหนดให้แต่ละระยะอายุเก็บเกี่ยว มี 5 ซ้ำ ซ้ำละ 2 ผล เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (25±2 องศาเซลเซียส, ความชื้นสัมพันธ์ 75 เปอร์เซ็นต์) นาน 12 วัน ผลการศึกษาพบว่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งและปริมาณไขมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่ออายุผลมากขึ้นและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<u><</u>0.05) ในขณะที่ระยะเวลาการสุกและอายุการเก็บรักษาจะลดลง โดยช่วงอายุผลอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’ ที่เหมาะสมสำหรับเก็บเกี่ยว คือ 140 – 145 วันหลังดอกบาน ผลที่เก็บเกี่ยวมาแล้วใช้ระยะเวลาในการสุก 2 – 4 วัน คุณภาพผลดี โดยมีเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งและปริมาณไขมันสูงและสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องไว้ได้นาน 8 วัน</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/677
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อระบุลักษณะปฏิกิริยาของอ้อย ต่อโรคเน่าแดงในการปรับปรุงพันธุ์อ้อย
2023-11-30T10:22:07+07:00
ครองทรัพย์ แสงทอง
krongsap.sa@ku.th
รัตนา ตั้งวงศ์กิจ
agrrnt@gmail.com
ภาวิต ตั้งวงศ์กิจ
agrrnt@gmail.com
<p>ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่ต้านทานโรคเน่าแดง จะอาศัยวิธีการทดสอบปฏิกิริยาของท่อนพันธุ์ต่อเชื้อราสาเหตุโรค แล้วอ่านผลจากลักษณะอาการโรคที่เกิดขึ้นด้วยสายตา แต่พบว่าการอ่านผลด้วยสายตาอาจมีความคลาดเคลื่อน จึงได้ทำการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ Redrot App บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 5.0 ขึ้นไป โดยใช้อัลกอริทึมการประมวลผลภาพถ่ายของลักษณะอาการโรค ทดสอบโปรแกรมโดยปลูกเชื้อโรคเน่าแดงให้กับท่อนพันธุ์อ้อยจำนวน 200 สายพันธุ์ อ่านผลด้วยวิธีให้ผู้เชี่ยวชาญใช้สายตาตรวจดูอาการโรคสามส่วน คือ การเคลื่อนของเชื้อทะลุปล้อง ขนาดของพื้นที่สีแดง และลักษณะสีแดง นำมาคำนวณคะแนนระดับอาการแล้วจัดกลุ่มตามลักษณะของความต้านทาน เปรียบเทียบกับการอ่านผลจากภาพถ่ายและวิเคราะห์ลักษณะของความต้านทานโรคด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นใช้ Python และ Library opencv2 ในการประมวณผลภาพโดยการทำ Traditional feature extraction ประกอบด้วยการทำ Geometry feature extraction และทำ Image segmentation สำหรับขนาดและความยาวของแผล เช่น Contouring, Morphological operation ส่วนการประเมินสีของแผลใช้ Histogram analysis แล้วใช้ Confusion matrix ประเมินผลลัพธ์ที่ได้ พบว่าการใช้โปรแกรมประยุกต์มีค่าความถูกต้อง (Accuracy) 92.50% ค่าความระลึก (Recall) 0.65 ค่าความแม่นยำ (Precision) 0.74 และค่าความถ่วงดุล (F1 score) 0.69 มีความแม่นยำและประสิทธิภาพ สามารถลดความคลาดเคลื่อนจากการอ่านผลด้วยสายตาได้ และโปรแกรมจะประมวลผลและแสดงระดับของลักษณะปฏิกริยาทันทีที่ถ่ายภาพหรือโหลดภาพแต่ละลำอ้อยทดลอง</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/700
เปรียบเทียบวิธีการวัดน้ำหนักแห้งด้วยตู้อบลมร้อนและเตาไมโครเวฟสำหรับเป็นดัชนีการเก็บเกี่ยวของอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’
2023-12-15T08:58:01+07:00
ปณวัตร สิขัณฑกสมิต
panawat.sik@ku.th
เมทินี พลอยเปลี่ยนแสง
metinee.p@gmail.com
<p>อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่สังเกตระดับความอ่อน-แก่จากลักษณะภายนอกได้ยาก จึงมีการใช้การประเมินเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในการระบุระดับความอ่อน-แก่ของอะโวคาโด แต่วิธีการหาน้ำหนักแห้งนั้นมีหลายวิธี ดังนั้นจุดประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ คือ การเปรียบเทียบการอบแห้งโดยการใช้ตู้อบลมร้อนและเตาไมโครเวฟในการวัดน้ำหนักแห้งของอะโวคาโด และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้ง อายุผล และปริมาณไขมันในผลอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’ โดยใช้เนื้อที่ขูดจากทั้งผลจำนวน 10 กรัม ผลการศึกษาพบว่า การอบแห้งด้วยเตาไมโครเวฟ (900 วัตต์) ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ในขณะที่การอบแห้งด้วยตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 60°ซ ใช้เวลาประมาณ 72 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งที่คำนวณได้จากทั้งสองวิธีมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอายุผล และปริมาณไขมัน (ค่า r มีค่าระหว่าง 0.748 ถึง 0.889) จากผลการทดลองสรุปได้ว่า การวัดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งด้วยตู้อบลมร้อนและเตาไมโครเวฟสามารถใช้เป็นดัชนีเก็บเกี่ยวสำหรับอะโวคาโดพันธุ์ ‘ปีเตอร์สัน’ ได้ โดยการวัดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งด้วยเตาไมโครเวฟใช้เวลาน้อยกว่า แต่เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งเฉลี่ยที่คำนวณได้จากการอบแห้งด้วยเตาไมโครเวฟจะมีค่าต่ำกว่าวิธีการอบแห้งด้วยตู้อบลมร้อน 3-5 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับอายุผล</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/752
ผลของอัตราปลูกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถั่วพุ่ม
2024-01-26T09:42:20+07:00
ชื่นจิต แก้วกัญญา
csncjk@ku.ac.th
อัครเดช แก้วเก็บคำ
csncjk@ku.ac.th
ชยานันต์ ศรีสวัสดิ์
csncjk@ku.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของอัตราปลูกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถั่วพุ่มที่ปลูกในดินลูกรังอันมีสภาพดินไร่ ดำเนินการทดลองที่คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 วางแผนการทดลองแบบ Randomize Complete Block Design (RCBD) จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย 3 สิ่งทดลอง คือ อัตราปลูกที่ต่างกัน (จำนวนต้นต่อหลุม) ได้แก่ 1 ต้นต่อหลุม (4,800 ต้นต่อไร่) 2 ต้นต่อหลุม (9,600 ต้นต่อไร่) และ 3 ต้น/หลุม (14,400 ต้นต่อไร่) ระยะปลูก 75X50 เซนติเมตร ผลการทดลอง พบว่าอัตราปลูกไม่มีผลต่อความสูงต้นถั่วพุ่ม (p>0.05) อย่างไรก็ตามพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของอัตราปลูกต่อจำนวนใบเฉลี่ย (p<0.05) เมื่ออายุ 5 สัปดาห์ หลังปลูก อัตราปลูก 1 ต้นต่อหลุม มีจำนวนใบเฉลี่ยสูงสุด (7.0 ใบต่อต้น) อัตราปลูกที่ 3 ต้นต่อหลุม ให้ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยสูงสุด (166.7 กิโลกรัมต่อไร่) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับอัตราปลูกอื่น ๆ (p<0.05) ในด้านคุณภาพเมล็ดพันธุ์ (ลักษณะทางกายภาพ และสรีรวิทยา) พบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างสิ่งทดลอง (p>0.05) จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า การปลูกถั่วพุ่มในสภาพดินลูกรัง เพื่อให้ได้ผลผลิตเมล็ดที่สูงและเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีควรใช้อัตราปลูกที่ 3 ต้นต่อหลุม</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/684
ความหลากหลายทางพันธุกรรมของถั่วเขียวฉายรังสี ชั่วที่ 5
2023-11-16T10:11:55+07:00
ธีรวุฒิ วงศ์วรัตน์
theerawut6949@gmail.com
อัจฉรา จอมสง่าวงศ์
pk_achara@hotmail.com
จุฑารัตน์ ช้างแก้วมณี
changkaewmaneejutarat@gmail.com
ยิ่งยศ พาลุกา
yingyot.plk@gmail.com
<p>การประเมินผลผลิตของถั่วเขียวฉายรังสีอิเล็กตรอนชั่วที่ 5 (M<sub>5</sub>) จากถั่วเขียวพันธุ์ตั้งต้น ได้แก่ พันธุ์ Chai Nat 84-1 และ Chai Nat 3 ศึกษาด้วยการวางแผนการทดลอง RCB 3 ซ้ำ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p ≤ 0.5) ถั่วเขียวฉายรังสี M<sub>5</sub> Chai Nat 84-1 มีผลผลิต (98.25-105.50 กิโลกรัมต่อไร่) สูงกว่าพันธุ์ตั้งต้น (84.90 กิโลกรัมต่อไร่) ถั่วเขียวฉายรังสี M<sub>5</sub> Chai Nat 3 มีผลผลิต 70.65-127.00 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ตั้งต้น (70.20 กิโลกรัมต่อไร่) ผลผลิตที่สูงขึ้นอาจเป็นผลจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของถั่วเขียวฉายรังสี M<sub>5</sub> และพันธุ์ตั้งต้น ด้วยเครื่องหมายเอสเอสอาร์ 9 เครื่องหมาย พบว่าสามารถแยกถั่วเขียวฉายรังสี M<sub>5 </sub>ที่มีผลผลิตสูงออกจากพันธุ์ตั้งต้นได้ จึงยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์กลายจริง และนำเข้าขั้นตอนการเปรียบเทียบผลผลิตเบื้องต้นต่อไป</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/755
การศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดินที่มีผลต่อต้านโรค จาก Fusarium spp. และการปลดปล่อยแอมโมเนียมและไนเตรตทางดินในพืชทุเรียน
2024-01-29T10:58:37+07:00
สิรินภา ช่วงโอภาส
agrsrnp@ku.ac.th
วิภาวรรณ ท้ายเมือง
agrwwt@ku.ac.th
<p>การใช้ผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดินที่เหมาะสมช่วยให้สมบัติทางเคมี ฟิสิกส์และชีวภาพของดินดีขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบสมบัติทางชีวภาพและเคมีของผลิตภัณฑ์นี้ วิเคราะห์ปริมาณแบคทีเรียในอาหารเพาะเลี้ยงเฉพาะ คัดแยกแบคทีเรียออกจากดินที่มีและไม่มีผลิตภัณฑ์ปรับปรุงดิน ทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งราก่อโรค <em>Fusarium</em> spp. วิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารในดินในกระบอก พบว่า จำนวนแบคทีเรียเพิ่มขึ้นประมาณ สิบเท่าที่ 18 วันหลังจากการเติมผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดิน เมื่อเทียบกับดินที่ไม่ใส่ผลิตภัณฑ์ มีแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในการย่อยเซลลูโลสถูกพบในปริมาณที่น้อยมาก เมื่อผสมผลิตภัณฑ์ปรับปรุงดินกับอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA ที่ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ จะยับยั้ง <em>Fusarium</em> sp. 1 ได้สูงสุดประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ในจานเพาะเชื้อ แบคทีเรียที่คัดแยกได้ไอโซเลต NA03, NA08 และ NA09 มีประสิทธิภาพในการยับยั้ง <em>Fusarium</em> spp. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงดินยังส่งผลให้ระดับแอมโมเนียมและไนเตรตในดินที่ปลูกทุเรียนลดลงเมื่อเทียบกับดินที่ไม่ใส่ผลิตภัณฑ์สารปรับปรุงดินที่ระยะเวลา 18 วัน ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์นี้ทำให้ต้นทุเรียนชะลอการได้รับไนโตรเจนจากดินช่วงระยะเวลาสั้นๆ</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/763
สภาพการปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการผลิตข้าวตามแผนที่เกษตร (Agri – Map) ของเกษตรกรใน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2024-02-13T10:34:02+07:00
ชนิตา ช่างผัสส์
chanita.ca@kkumail.com
อรุณี พรมคำบุตร
arunee@kku.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะส่วนบุคคลทางเศรษฐกิจ สังคมและทรัพยากรการเกษตร 2) สภาพปรับเปลี่ยนพื้นที่ และ 3) ปัญหาในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ของเกษตรกรอำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่าง 64 ราย ที่ยังคงปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 59.86 ปี ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์ทำการเกษตรเฉลี่ย 31.78 ปี จำนวนแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 2.41 คน จำนวนหนี้สินเฉลี่ย 481,910.71 บาท จำนวนพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนเฉลี่ย 3.30 ไร่ ในแปลงมีการใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมักและน้ำหมัก ไม่ใช้สารกำจัดศัตรูพืช มีแหล่งน้ำในแปลง เงินทุนที่ใช้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เฉลี่ย 22,840.63 บาท ส่วนใหญ่เพื่อสร้างแหล่งน้ำในแปลง ส่วนใหญ่ใช้แรงงานในครัวเรือน ชนิดพืชในแปลงได้แก่ ไม้ผล ร้อยละ 93.75 พืชผัก ร้อยละ 50.00 และสวนป่า ร้อยละ 25.00 เลี้ยงสัตว์ในแปลงได้แก่ ประมง ร้อยละ 73.44 โคกระบือ ร้อยละ 34.38 และสัตว์ปีก ร้อยละ 9.38 เกษตรกรส่วนใหญ่ผลิตเพื่อบริโภคและขายส่วนเกินในชุมชน รายได้จากการจำหน่ายผลผลิตจากพืชอื่นมากกว่ารายได้จากการจำหน่ายข้าว เฉลี่ย 7,429.12 บาท/ไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตสูง และภัยแล้ง หน่วยงานราชการควรสนับสนุนแหล่งน้ำและเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมควรเข้าไปติดตามและให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/691
ผลของน้ำหมักชีวภาพใบกระถิน มูลสุกร มูลไก่แกลบ และปุ๋ยเคมี ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้า
2023-10-20T10:12:59+07:00
ไพบูลย์ หมุ่ยมาศ
pmuymas@yahoo.com
กัมพล ปาละอุด
pmuymas@yahoo.com
ศรัณยู โปโซโร
pmuymas@yahoo.com
เยาวเรศ ชูศิริ
pmuymas@yahoo.com
ณรงค์ คชภักดี
pmuymas@yahoo.com
ศาสตรา ลาดปะละ
pmuymas@yahoo.com
ศราวุธ วณิชแห่งไพรสัณฑ์
pmuymas@yahoo.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพใบกระถิน (LB) มูลสุกร มูลไก่แกลบ และปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้า การศึกษาในกระถางในสภาพแปลงทดสอบดำเนินการระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 วางแผนการทดลองแบบสุ่มบล็อกสมบูรณ์ (RCBD) จำนวน 7 กรรมวิธี โดยพ่น LB ความเข้มข้น 0-3 มิลลิลิตร/ลิตร/ต้น ทุก 1 สัปดาห์ พบว่าการใช้ LB 3.0 มิลลิลิตร/ลิตร ส่งผลให้การเจริญเติบโต (จำนวนใบ ความกว้างใบ ความสูงลำต้น) น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของคะน้า จากนั้นจึงได้ทำการศึกษาผลของการใช้ LB 3.0 มิลลิลิตร/ลิตร/ต้น (T1) เปรียบเทียบกับการใช้ LB 3.0 มิลลิลิตร/ลิตร/ต้น ร่วมกับมูลสุกร 37.50 กรัม/ต้น (T2) หรือการใช้ปุ๋ยเคมี (25-5-5) 25 กรัม/ต้น ร่วมกับมูลไก่แกลบ 25 กรัม/ต้น (T3) โดยใส่ปุ๋ยและพ่น LB ทุก 1 สัปดาห์ ในสภาพแปลงปลูกเกษตรกร ดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2565 วางแผนการทดลองแบบ RCBD ผลการทดลองพบว่า คะน้า T2 มีการเจริญเติบโตและผลผลิตต่ำที่สุด T1 ส่งผลให้การเจริญเติบโตและน้ำหนักสดของคะน้าน้อยกว่า T3 แต่น้ำหนักแห้งของคะน้า T1 มีค่าสูงที่สุด น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของคะน้า T1 คิดเป็น 91.16 และ 110.65 เปอร์เซ็นต์ ของคะน้า T3 ตามลำดับ ดังนั้นการใช้ LB ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีบางส่วนอาจจะสามารถรักษาระดับผลผลิตคะน้าและช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรได้</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/712
ผลของกรดฮิวมิกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และการสะสมธาตุอาหารในมะเขือเทศเชอรี่ พันธุ์ CH 154
2024-03-04T14:02:27+07:00
อัญธิชา พรมเมืองคุก
agracp@ku.ac.th
จุฑาทิพย์ เนตรวัฒน์
Jutathip.n@ku.th
ปุญญิศา ตระกูลยิ่งเจริญ
agrpyst@ku.ac.th
ญาณิศา นามสวัสดิ์
zaiiaew_a@hotmail.co.th
<p>สารฮิวมิกถูกนำมาใช้กับการผลิตพืชผลทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีความหลากหลายทั้งชนิด และปริมาณกรดฮิวมิกที่แตกต่างกัน จึงมีแนวคิดในการศึกษาผลของอัตรากรดฮิวมิกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และการดูดใช้ธาตุอาหารของมะเขือเทศเชอรี่พันธุ์ CH 154 ภายใต้สภาพโรงเรือน วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) กำหนดให้ระดับกรดฮิวมิกที่สกัดมาจากลีโอนาร์ไดต์ที่ใส่มี 5 ระดับ คือ 0, 25, 50, 75 และ 100 กิโลกรัมต่อไร่ จำนวน 3 ซ้ำ ปลูกมะเขือเทศในวัสดุปลูกที่ผสมจาก ขุยมะพร้าว: แกลบดำ: ทราย ในอัตราส่วน 2:2:1 โดยวัสดุปลูก 1 กระถางมีน้ำหนัก 4,200 กรัม รดด้วยสารละลายสูตร Resh tropical dry summer ตลอดการทดลอง ผลการศึกษา พบว่า ระดับของกรดฮิวมิกที่อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ มีผลให้น้ำหนักผลผลิต น้ำหนักสด มวลชีวภาพ องค์ประกอบผลผลิต ปริมาณไลโคปีน การดูดใช้ธาตุอาหาร (N, P, K, Ca, Mg, Fe, Zn) ในส่วนเหนือดิน ราก และผลมะเขือเทศมีความแตกต่างกันทางสถิติ ขณะที่ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ส่วนอัตราการใส่กรดฮิวมิกที่ 75 และ 100 กิโลกรัมต่อไร่ มีผลให้พารามิเตอร์ที่ตรวจวัดมีค่าลดลง การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการใส่กรดฮิวมิกทางดินที่อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ มีความเหมาะสมและเป็นแนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกมะเขือเทศเชอรี่ได้</p>
2025-07-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management