https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management 2024-10-28T00:00:00+07:00 Chonnatcha Tonthong,ชลณัฐชา ตันทอง chonnatcha.tob@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่</strong><strong> : </strong></p> <p>วารสารกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ และตีพิมพ์ทุก ๆ 4 เดือน/ปี </p> <p>ตีพิมพ์ฉบับละไม่น้อยกว่า 7 บทความต่อฉบับ ไม่เกิน 13 บทความต่อฉบับ ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความทางด้านเกษตรศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่</p> <p> 1. สาขาพืชไร่นา</p> <p>2.สาขาพืชสวน</p> <p>3.สาขาปฐพีวิทยา</p> <p>4.สาขาโรคพืช</p> <p>5.สาขากีฎวิทยา</p> <p>6.สาขาสัตวศาสตร์</p> <p>7.สาขาเกษตรกลวิธาน</p> <p>8.สาขาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร</p> <p>9.สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <h4><strong>วัตถุประสงค์ </strong></h4> <p><strong><span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อส่งเสริม พัฒนา และยกระดับการผลิตผลงานวิจัย ตลอดจนเพิ่มทางเลือกให้กับบุคลากรวิจัยและนิสิตในการพิจารณาส่งผลงานวิจัยลงตีพิมพ์/ เผยแพร่</span></strong></p> <p><strong>การตอบรับบทความ</strong></p> <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการต้องผ่านการประเมินจาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน</strong> <strong>แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</strong> และผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตอบรับการตีพิมพ์จำนวน 2 ท่านจากจำนวน 3 ท่าน เมื่อผ่านการประเมินแล้ว กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขเรื่องที่ส่งพิมพ์ตามที่เห็นสมควร และไม่รับพิจารณาต้นฉบับที่ไม่เป็นตามหลักเกณฑ์การตีพิมพ์ของวารสารฯ</p> <p>*กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจและแก้ไขบทความที่เสนอเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ</p> <p>*The Editorial Board Claims a right to review and correct all articles submitted for publishing</p> <p>กองบรรณาธิการวารสาร <strong>ไม่มีนโยบายเรียกเก็บค่าทำเนียมการตีพิมพ์บทความในทุกขั้นตอน (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ</strong></p> https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/601 การส่งเสริมการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ 2023-08-03T08:36:35+07:00 ภัทราภรณ์ เมืองใจ yuiza55589@gmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการผลิตลำไยของเกษตรกร 2) การปฏิบัติในการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร และ 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะของเกษตรกรเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ประชากร คือ เกษตรกรผู้ผลิตลำไยในอำเภอฮอด <br />จังหวัดเชียงใหม่ ในรอบปีการผลิต 2565/66 ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับสำนักงานเกษตรอำเภอฮอด จำนวน 220 ราย <br />มีการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการคำนวณขนาดตัวอย่างของทาโร ยามาเน่ โดยยอมให้เกิดความ<br />คลาดเคลื่อนที่ระดับ 0.05 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 142 ราย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง คัดเลือกประชากรโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า <br />1) เกษตรกรทั้งหมดปลูกลำไยพันธุ์อีดอ มีการพ่นฮอร์โมนแคลเซียมโบรอน เฉลี่ย 13.53 ครั้ง เกษตรกรมีการจำหน่ายลำไยผ่านพ่อค้าคนกลางในพื้นที่ 2) การปฏิบัติในการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร <br />ในระดับมากที่สุด ประเด็นการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว 3) ปัญหาของเกษตรกรเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ในระดับมาก ในประเด็นการส่งเสริมแบบมวลชน และเกษตรกรเสนอแนะให้ เจ้าหน้าที่จัดทำเอกสาร คู่มือ หรือแผ่นพับ จัดทำสื่อการเรียนรู้และประชาสัมพันธ์ข้อมูลองค์ความรู้เรื่องการผลิตลำไยตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/611 ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาของเกษตรกรนาแปลงใหญ่ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก 2023-08-08T13:31:41+07:00 อัญชัน ขุนด้วง aunjung_357@hotmail.com เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ yooprasertb@gmail.com พลสราญ สราญรมย์ oh1981@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพบุคคล สังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกร 2) ความรู้ และแหล่งความรู้เกี่ยวกับการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา 3) การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา 4) ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา และ 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาของเกษตรกร ประชากร คือ เกษตรกรที่เป็นสมาชิกนาแปลงใหญ่ ในอำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก พ.ศ.2564 จำนวน 321 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้จำนวนตัวอย่าง 178 ราย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 53.93 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์ทำนาเฉลี่ย 28.66 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่ ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา มีแรงงานด้านการเกษตร เฉลี่ย 2.24 คนต่อครัวเรือน มีพื้นที่ทำนา เฉลี่ย 17.24 ไร่ มีรายได้ภาคการเกษตร เฉลี่ย 57,286.51 บาทต่อปี<strong> </strong>2) เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับเชื้อราไตรโคเดอร์มาในระดับมาก แหล่งความรู้ที่เกษตรกรเข้าถึงมากที่สุด คือ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน 3) เกษตรกรร้อยละ 70.80 มีการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา 4) ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาของเกษตรกร ได้แก่ การได้รับการฝึกอบรมการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ความรู้เกี่ยวกับการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา และปัญหาด้านการส่งเสริมการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา 5) ปัญหาที่พบมากที่สุดของเกษตรกร คือ เอกสารคำแนะนำและแผ่นพับมีเนื้อหาไม่น่าสนใจ และมีข้อเสนอแนะให้มีการจัดทำเอกสารคำแนะนำการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา เพื่อให้เกษตรกรใช้ศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/600 ความต้องการการส่งเสริมการผลิตกล้วยหอมทองของเกษตรกรในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี 2023-08-15T08:22:30+07:00 ยุพรัตน์ รักเกื้อ k_yup@hotmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th สินีนุช ครุฑเมือง Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกร 2) สภาพการผลิตกล้วยหอมทองของเกษตรกร 3) ความต้องการในการส่งเสริมการผลิตกล้วยหอมทองของเกษตรกร และ 4) ปัญหาและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการผลิตกล้วยหอมทองของเกษตรกร ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรผู้ผลิตกล้วยหอมทองใน</p> <p>พื้นที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ปี พ.ศ. 2564 จำนวน 255 ราย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามวิธีการของทาโร ยามาเน (Yamane, 1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 156 ราย รวบรวมข้อมูลโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดอันดับ ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 53.73 ปี มีประสบการณ์ในการปลูกกล้วยหอมทองเฉลี่ย 11.46 ปี มีพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองเฉลี่ย 43.88 ไร่ รายได้จากการผลิตกล้วยหอมทองเฉลี่ย 43,680.77 บาท/ไร่ มีรายจ่ายจากการผลิตกล้วยหอมทองเฉลี่ย 32,612.18 บาท/ไร่ สภาพการผลิตกล้วยหอมทอง พื้นที่ปลูกเป็นร่องสวน สภาพดินเป็นดินเหนียว ใช้น้ำจากแหล่งน้ำชลประทาน ป้องกันกำจัดโรคและแมลงโดยใช้สารเคมี เก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่ออายุ 8 – 10 เดือน เกษตรกรมีความต้องการในการส่งเสริมด้านวิชาการเรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน และวิธีการส่งเสริมแบบกลุ่มโดยการจัดทำแปลงสาธิตการผลิตกล้วยหอมทองคุณภาพเพื่อใช้เป็นแปลงเรียนรู้ เกษตรกรมีปัญหาในเรื่องของปุ๋ยเคมี สารเคมี และปัจจัยการผลิตมีราคาแพง ข้อเสนอแนะคือ เจ้าหน้าที่ควรมีการติดตามให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแนวกันลม และหน่วยงานภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือในการลดต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกร</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/606 ความต้องการการส่งเสริมการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ในอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี 2023-07-21T14:43:40+07:00 ณภัสนันท์ อินคง minkhong89@gmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) สภาพสังคม และเศรษฐกิจของเกษตรกร 2) การปฏิบัติเกี่ยวกับการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร 3) ความต้องการการส่งเสริมการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร และ4) ปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ประชากร คือ เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในพื้นที่อำเภอเมืองปราจีนบุรี ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในปีการผลิต 2565 จำนวน 220 ราย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร ทาโร ยามาเน ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 142 ราย รวบรวมข้อมูลโดยวิธีสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 55.26 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีประสบการณ์ในการผลิตทุเรียน 17.38 ปี มีพื้นที่ปลูกทุเรียนเฉลี่ย 5.13 ไร่ มีต้นทุนในการผลิตทุเรียนเฉลี่ย 18,078.17 บาทต่อไร่ต่อปี มีรายได้จากการผลิตทุเรียนเฉลี่ย 98,654.93 บาทต่อไร่ต่อปี และมีผลผลิตทุเรียนเฉลี่ย 871.90 กิโลกรัมต่อไร่ 2) เกษตรกรมีการปฏิบัติเกี่ยวกับการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีมากที่สุด ด้านน้ำ และปฏิบัติน้อยที่สุด ด้านสุขลักษณะส่วนบุคคลและการบันทึกข้อมูล 3) เกษตรกรต้องการการส่งเสริมการผลิตทุเรียนตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีในระดับมากที่สุด ด้านน้ำ และ 4) เกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาด้านแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิต และขาดความรู้ด้านน้ำ คือ ควรให้ความรู้ด้านการให้น้ำตามระยะการเติบโตของทุเรียน และมีข้อเสนอแนะจากงานวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ควรเข้าไปเยี่ยมเยียนแปลงเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแก้ปัญหาด้านน้ำ ซึ่งน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลิตทุเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/644 การผลิตข้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ของเกษตรกรในอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ 2023-09-01T11:49:42+07:00 วิลาวรรณ กันไชย babytaz.ka@gmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการผลิตข้าว 2) การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร และ 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะของเกษตรกรเกี่ยวกับการผลิตข้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในตำบลบ้านหม้ออำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ขึ้นทะเบียน<br />กับกรมส่งเสริมการเกษตร ปีการผลิต 2564/65 จำนวน 155 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยคิดคำนวณจากสูตรทาโร ยามาเน ความคลาดเคลื่อนที่ระดับ 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 112 คน รวบรวมข้อมูลโดยวิธีสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการจัดลำดับ ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลก 80 พบการระบาดของโรคดอกกระถินในข้าว 2) การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ด้านการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.7) และ 3) ปัญหาของเกษตรกรเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี <br />ซึ่งเกษตรกรขาดความรู้เรื่องการจัดการการปลูกและการดูแล โดยมีข้อเสนอแนะต้องการให้เจ้าหน้าที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องการผลิตข้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีทางสื่อสิ่งพิมพ์ให้มากขึ้น</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/614 ผลของสูตรปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตของกัญชา (Cannabis sativa L.) ที่ปลูกนอกโรงเรือน 2023-08-07T10:10:37+07:00 ชุติพนธ์ คำดี chutipon.kum@ku.th ณัฐชนน คงศรี natchanon.khon@ku.th ทิวา พาโคกทม agrtwp@ku.ac.th นงภัทร ไชยชนะ fagrnpch@ku.ac.th <p>การจัดการธาตุอาหารพืชเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและสร้างผลผลิตของพืช โดยเฉพาะพืชกัญชาที่งานวิจัยด้านธาตุอาหารในประเทศไทยยังมีไม่มากนัก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสูตรปุ๋ยเคมีที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของกัญชาที่ปลูกนอกโรงเรือน วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design; CRD) จำนวน 5 ซ้ำ 4 ตำรับการทดลอง ดังนี้ 1) ปุ๋ยสูตร 15.8-11.8-19.0 2) ช่วงทำใบ ปุ๋ยสูตร 2-1-4 และช่วงทำดอก ปุ๋ยสูตร 2-4-4 3) ช่วงทำใบ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 และช่วงทำดอก ปุ๋ยสูตร 8-24-24 4) ช่วงทำใบ ปุ๋ยสูตร 30-10-10 และช่วงทำดอก ปุ๋ยสูตร 10-20-30 ให้สารละลายปุ๋ยพร้อมกับให้น้ำทุก 3 วัน และเปลี่ยนจากช่วงทำใบเป็นช่วงทำดอกเมื่อกัญชาอายุ 6 สัปดาห์หลังย้ายปลูก ผลการศึกษาพบว่าเมื่อกัญชาอายุ 8 สัปดาห์หลังย้ายปลูก ตำรับการทดลองที่1 ใส่ปุ๋ยสูตร 15.8-11.8-19.2 และตำรับการทดลองที่ 4 ใส่ปุ๋ยสูตร 30-10-10 ช่วงทำใบ และใส่ปุ๋ยสูตร 10-20-30 ช่วงทำดอก ทำให้ความสูงต้น จำนวนใบต่อต้น ความเขียวใบ มากกว่าการใช้ปุ๋ยในตำรับการทดลองอื่น และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตด้านลำต้นได้แก่ ราก ลำต้นรวมกิ่ง และใบ พบว่ากัญชาที่ได้รับปุ๋ยสูตร 30-10-10 ช่วงทำใบ และใส่ปุ๋ยสูตร 10-20-30 ช่วงทำดอก มีน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งรวมทั้งต้นสูงสุด เท่ากับ 1.65 และ 0.46 กิโลกรัม/ต้น ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าการใช้ปุ๋ยสูตร 30-10-10 ช่วงทำใบ และใส่ปุ๋ยสูตร 10-20-30 ช่วงทำดอก เหมาะสมสำหรับการปลูกกัญชานอกโรงเรือนมากกว่าปุ๋ยเคมีอัตราอื่น </p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/657 การใช้ประโยชน์ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมฟอกหนังต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของอ้อย 2023-09-13T11:37:30+07:00 ภูเบศ กุลศิริ agrcht@ku.ac.th ชัยสิทธิ์ ทองจู thongjooc@gmail.com ธวัชชัย อินทร์บุญช่วย agrcht@ku.ac.th อัญธิชา พรมเมืองคุก agrcht@ku.ac.th <p>ศึกษาผลของการใช้ประโยชน์ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมฟอกหนังต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของอ้อยพันธุ์กำแพงแสน 01-4-29 ที่ปลูกในชุดดินกำแพงแสน โดยวางแผนการทดลองแบบ RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 8 ตำรับทดลอง ผลการทดลอง พบว่า การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (2) อัตรา 3.2 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>2</sub>)<sub>3.2 l/rai</sub>, T<sub>8</sub>) มีผลให้ความสูงต้น และผลผลิตน้ำตาลของอ้อยมากที่สุด ไม่แตกต่างกันในทางสถิติกับการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (1) อัตรา 3.2 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>1</sub>)<sub>3.2 l/rai</sub>, T<sub>6</sub>) การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (2) อัตรา 1.6 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>2</sub>)<sub>1.6 l/rai</sub>, T<sub>7</sub>) และการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (1) อัตรา 1.6 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>1</sub>)<sub>1.6 l/rai</sub>, T<sub>5</sub>) ขณะที่ทุกตำรับทดลองที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินอย่างเดียว หรือการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรต่างๆ มีผลให้ค่าความเขียวของใบ ผลผลิตอ้อยสด น้ำหนักเฉลี่ยต่อลำ ความยาวลำ เส้นผ่านศูนย์กลางลำ ค่า commercial cane sugar (CCS) ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่สะสมในท่อนลำอ้อยใกล้เคียงกัน และแตกต่างกันทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับตำรับควบคุม (control, T<sub>1</sub>) ซึ่งมีผลให้ค่าความเขียวของใบ ผลผลิตอ้อยสด น้ำหนักเฉลี่ยต่อลำ ความยาวลำ เส้นผ่านศูนย์กลางลำ ค่า CCS ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่สะสมในท่อนลำอ้อยน้อยที่สุด</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/628 การผลิตลิ้นจี่ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ในอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา 2023-09-15T09:02:34+07:00 กรรัตน์ สุเมธาวัฒนพงศ์ kornrat.nuy@hotmail.com นารีรัตน์ สีระสาร Nareerut.see@stou.ac.th เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ Nareerut.see@stou.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการผลิตลิ้นจี่ของเกษตรกร 2) การผลิตลิ้นจี่ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการผลิตลิ้นจี่ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ประชากร คือ เกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่ในอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา จำนวน 198 ราย ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ปีการผลิต 2564/2565 มีการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยคิดคำนวณจากสูตรทาโร ยามาเน ที่ระดับความคลาดเคลื่อนที่ระดับ 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่าง 133 ราย รวบรวมข้อมูลโดยวิธีสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการจัดลำดับ ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรร้อยละ 90.20ใช้ที่ดินของตนเองในการปลูกลิ้นจี่ ร้อยละ 54.90 ปลูกลิ้นจี่พื้นที่ราบลุ่ม ร้อยละ 38.30 ใช้น้ำจากคลองสาธารณะ ร้อยละ 96.20 ปลูกลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย ร้อยละ 56.40 พบโรคผลเน่า ร้อยละ 91.00 พบหนอนเจาะขั้วผล ร้อยละ 66.20 ห่อช่อผลบางส่วน ร้อยละ 57.10 จำหน่ายผลผลิตลิ้นจี่ด้วยตนเอง 2) สภาพการผลิตลิ้นจี่ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกรอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการเตรียมผลผลิตเพื่อส่งจำหน่ายและการขนย้ายสู่ผู้บริโภค และ 3) ปัญหาเกี่ยวกับการผลิตลิ้นจี่ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกรเป็นด้านการขาดความรู้เรื่องวิธีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อส่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมีข้อเสนอแนะต้องการให้เจ้าหน้าที่จัดศึกษาดูงานและลงพื้นที่ไปแนะนำให้ความรู้เรื่องการผลิตลิ้นจี่</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/613 การยับยั้งเพคติเนสของสารสกัดโปรตีนจากเมล็ดถั่วเขียวผิวมันและถั่วเขียวผิวดำ 2023-07-25T09:36:03+07:00 พรศิริ เลี้ยงสกุล agrpsr@ku.ac.th ประภาสิริ องค์รักษ์ agrpsr@ku.ac.th ปลายมีน อำนวยชีวะ agrpsr@ku.ac.th กนกวรรณ เที่ยงธรรม agrpsr@ku.ac.th อนุรักษ์ อรัญญนาค agrpsr@ku.ac.th <p>ด้วงถั่วเขียวเป็นแมลงศัตรูในโรงเก็บที่สำคัญ โดยด้วงถั่วเขียวมีการหลั่งเพคติเนสเพื่อย่อยเพคติน ซึ่งเป็นโพลิแซคคาไรด์ที่พบในผนังเซลล์พืช ทำให้สามารถเข้าไปกัดกินและทำลายเมล็ดถั่วเขียว ความต้านทานการเข้าทำลายของด้วงถั่วเขียวที่แตกต่างกันในถั่วเขียวแต่ละสายพันธุ์อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการยับยั้งเพคติเนส ดังนั้นการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินกิจกรรมการยับยั้งเพคติเนส ผลของปริมาณที่ใช้ทดสอบ และความคงตัวต่อความร้อนของสารสกัดโปรตีนจากถั่วเขียวผิวมันสองพันธุ์ (KPS1 และ KUML3) และถั่วเขียวผิวดำหนึ่งพันธุ์ (CN80) ผลการทดลองพบว่า เมล็ดถั่วเขียวดิบ<br />ทั้งสามพันธุ์มีกิจกรรมการยับยั้งเพคติเนส แต่ถั่วเขียวผิวดำพันธุ์ CN80 แสดงกิจกรรมดังกล่าวสูงที่สุด กิจกรรมการยับยั้งเพคติเนสเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณสารสกัดโปรตีนที่เพิ่มขึ้น และยังพบว่า การต้มสารสกัดโปรตีนให้เดือดเป็นเวลา 10 นาที ทำให้ความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ของสารสกัดโปรตีนจากถั่วเขียวทั้งสามพันธุ์ลดลง แต่มีระดับการลดลงที่ต่างกัน การทดลองในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า พันธุกรรมถั่วเขียว ปริมาณ และการเตรียมสารสกัดโปรตีนมีผลต่อกิจกรรมการยับยั้ง<br />เพคติเนส อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาชนิดของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการยับยั้งเพคติเนส เพื่อให้เข้าใจกลไกความต้านทานด้วงถั่วเขียวเพิ่มขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้คัดเลือกถั่วเขียวให้มีความต้านทานด้วงถั่วเขียวต่อไปได้</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/612 สมรรถภาพการเจริญเติบโต ผลผลิตจากการหมักย่อยในกระเพาะรูเมน และต้นทุนการขุนแกะลูกผสมที่ได้รับต้นข้าวพร้อมเมล็ดหมักเป็นแหล่งอาหารหยาบ 2023-09-19T14:10:00+07:00 อัญชลี คงประดิษฐ์ agrsusa@ku.ac.th นพดล ชัยวิสูตร agrsusa@ku.ac.th ภูมพงศ์ บุญแสน agrsusa@ku.ac.th ทัสนันทน์ หงสะพัก agrsusa@ku.ac.th ณภาส์ณัฐ อู๋สูงเนิน agrsusa@ku.ac.th สุริยะ สะวานนท์ agrsusa@ku.ac.th <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลของการใช้ต้นข้าวพร้อมเมล็ดหมัก (3 สายพันธุ์) เป็นแหล่งอาหารหยาบในอาหารผสมครบส่วนต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต กระบวนการหมักย่อยในกระเพาะรูเมน และเมแทบอไลต์ในเลือดของแกะเพศเมียลูกผสมสายพันธุ์ซานต้าอินเนส โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ใช้แกะจำนวน 20 ตัว (อายุเฉลี่ย 7 เดือน) น้ำหนักเริ่มต้นการทดลองเฉลี่ย 18.33±2.16 กิโลกรัม ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ตัว โดยสุ่มแกะให้ได้รับอาหารผสมที่มีสัดส่วนของอาหารข้นและอาหารหยาบในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ซึ่งแกะแต่ละกลุ่มจะได้รับอาหารข้นเหมือนกันแต่แหล่งของอาหารหยาบแตกต่างกัน คือ กลุ่มที่ 1 ได้รับต้นข้าวพร้อมเมล็ดหมักสายพันธุ์ กข61 (RD61) กลุ่มที่ 2 ได้รับต้นข้าวพร้อมเมล็ดหมักสายพันธุ์สุพรรณบุรี1 (SB1) กลุ่มที่ 3 ได้รับต้นข้าวพร้อมเมล็ดหมักสายพันธุ์ปทุมธานี 1 (PT1) และกลุ่มที่ 4 ได้รับหญ้าเนเปียร์หมัก (NS) ทำการเลี้ยงแกะเป็นเวลา 122 วัน จากการศึกษาพบว่าแกะมีน้ำหนักตัวสุดท้าย น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโต และอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัวแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P &gt; 0.05) ปริมาณการกินได้ในรูปวัตถุแห้งและความเข้มข้นของยูเรีย-ไนโตรเจนในกระแสเลือดของแกะที่ได้รับ SB1 มีแนวโน้มสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ (P = 0.10) ความเป็นกรด-ด่างของของเหลวในกระเพาะรูเมนของแกะที่ได้รับ PT1 สูงกว่า RD61 SB1 และ NS (P &lt; 0.05) นอกจากนี้แกะที่ได้รับ RD61 มีความเข้มข้นของกรดไขมันระเหยง่ายสายสั้นทั้งหมดสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ (P &lt; 0.05) อย่างไรก็ตามสัดส่วนของกรดอะซิติก กรดโพรพิโอนิก และกรดบิวทิริก (โมล/100 โมล) ของทุกกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P &gt; 0.05) และพบว่าต้นทุนค่าอาหารต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมของแกะที่ได้รับ SB1 ต่ำที่สุด ดังนั้นจากผลการทดลองนี้สรุปได้ว่าต้นข้าวหมักพร้อมเมล็ด โดยเฉพาะสายพันธุ์ RD61 และ SB1 (เก็บเกี่ยวที่ระยะเมล็ดข้าวเป็นน้ำนม) มีศักยภาพเป็นแหล่งอาหารหยาบในสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ดี</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/685 การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะของเกษตรกรชุมชนบ้านเจริญธรรม ตำบลเขาขลุง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 2023-11-30T14:41:28+07:00 สุพิชาพร ศรีขวัญ agrjnt@ku.ac.th จิรัฐินาฏ ถังเงิน jiratt22@gmail.com คนึงรัตน์ คำมณี agrjnt@ku.ac.th พันธ์จิตต์ สีเหนี่ยง agrjnt@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการจัดการขยะในครัวเรือนของเกษตรกร 2) กระบวนการจัดการขยะและประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับชุมชน และ 3) การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะของเกษตรกร จากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ 1) ผู้นำโครงการชุมชนปลอดขยะจำนวน 1 คน และ 2) เกษตรกรบ้านเจริญธรรม จำนวน 40 ครัวเรือน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 60.00) มีอายุเฉลี่ย 43.70 ปี อาศัยอยู่ในพื้นที่เฉลี่ย 26.03 ปี ขยะที่พบเป็นขยะอินทรีย์ (ร้อยละ 35.45) กระบวนการจัดการขยะของชุมชน ประกอบไปด้วย 1) การรับรู้ปัญหาขยะ 2) การจัดตั้งคณะกรรมการจัดการขยะ 3) การส่งเสริมให้คัดแยกขยะ 4) การสร้างความตระหนักในการจัดการขยะ 5) การอบรมความรู้ในการจัดการขยะ 6) การพัฒนาฐานเรียนรู้ด้านการจัดการขยะ การมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการจัดการขยะภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.01) โดยเกษตรกรมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมสูงสุด (ค่าเฉลี่ย 3.16) รองลงมาเป็น การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (ค่าเฉลี่ย 3.15) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (ค่าเฉลี่ย 3.05) และอันดับสุดท้ายคือ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ร่วมกัน (ค่าเฉลี่ย 2.59) ข้อเสนอแนะในการวิจัย คือ หน่วยงานท้องถิ่นควรกระตุ้นให้เกษตรกรและเยาวชนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการกระบวนการจัดการขยะเพื่อพัฒนากิจกรรมฐานการเรียนรู้ให้เกิดการจัดการขยะได้อย่างยั่งยืน</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/726 ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ใน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2023-11-27T16:06:50+07:00 วิศเวศ ศักดา sonthaya.sa@ku.th สนธยา สำเภาทอง sonthaya.sa@ku.th จิรัฐินาฏ ถังเงิน sonthaya.sa@ku.th ศวิตา ตั้งวงศ์กิจ sonthaya.sa@ku.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการใช้สารกำจัดศัตรูพืช และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการใช้สารกำจัดศัตรูพืช เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสำรวจเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 262 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ 1) สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์เพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรเกือบทั้งหมดมีความรู้เกี่ยวกับการใช้สารกำจัดศัตรูพืชในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 88.93 จากจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เกษตรกรมีทัศนคติเกี่ยวการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.00) แต่ยังมีการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 1.78) ในแง่ของความสัมพันธ์พบว่า ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการใช้สารกำจัดศัตรูพืชมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้อง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นควรมีการส่งเสริม เรื่องการให้องค์ความรู้ การสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการใช้สารกำจัดศัตรูพืช เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องปลอดภัยต่อไป</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management https://li02.tci-thaijo.org/index.php/JASM/article/view/694 การใช้ประโยชน์ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมฟอกหนังต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของมันสำปะหลัง 2023-11-22T16:17:26+07:00 ชญาณี บุตรครุธ agrcht@ku.ac.th ชัยสิทธิ์ ทองจู thongjooc@gmail.com ธวัชชัย อินทร์บุญช่วย agrcht@ku.ac.th อัญธิชา พรมเมืองคุก agrcht@ku.ac.th <p> ศึกษาผลของการใช้ประโยชน์ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมฟอกหนังต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของมันสำปะหลังพันธุ์ห้วยบง 60 ที่ปลูกในชุดดินกำแพงแสน โดยวางแผนการทดลองแบบ RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 8 ตำรับทดลอง ผลการศึกษา พบว่า ทุกตำรับทดลองที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินอย่างเดียว การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรต่างๆ มีผลให้ความสูงต้น ค่าความเขียวของใบ ผลผลิตหัวสด น้ำหนักเฉลี่ยต่อหัว ความยาวหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้งส่วนหัวสด ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่สะสมในส่วนหัวสดใกล้เคียงกัน แต่แตกต่างกันทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับตำรับควบคุม (control : T<sub>1</sub>) ซึ่งมีผลให้ความสูงต้น ค่าความเขียวของใบ ผลผลิตหัวสด น้ำหนักเฉลี่ยต่อหัว ความยาวหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้งส่วนหัวสด ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่สะสมในส่วนหัวสดของมันสำปะหลังน้อยที่สุด นอกจากนี้ การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (2) อัตรา 3.2 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>2</sub>)<sub>3.2 l/rai</sub>, T<sub>8</sub>) มีผลให้ความกว้างหัวสด และผลผลิตแป้งต่อพื้นที่ของมันสำปะหลังมากที่สุด ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (1) อัตรา 3.2 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>1</sub>)<sub>3.2 l/rai</sub>, T<sub>6</sub>) การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (2) อัตรา 1.6 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>2</sub>)<sub>1.6 l/rai</sub>, T<sub>7</sub>) และการใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการฉีดพ่นปุ๋ยชนิดเหลวจากผลพลอยได้อุตสาหกรรมฟอกหนังสูตรใหม่ (1) อัตรา 1.6 ลิตร/ไร่ (CF<sub>DOA</sub>+BPTI (N<sub>1</sub>)<sub>1.6 l/rai</sub>, T<sub>5</sub>)</p> 2024-10-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์เกษตรและการจัดการ Journal of Agricultural Science and Management