https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
2025-06-06T15:55:37+07:00
Asst. Prof. Dr. Rungnapa Tagun (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา ทากัน)
research_journal@g.cmru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่เป็นปีที่ 3 <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 5 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1002
ผลการพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย
2025-05-28T16:15:15+07:00
รสสุคนธ์ แก้วโกมินทวงษ์
mamrod.k@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research ) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย กลุ่มเป้าหมายคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 68 คน วิเคราะห์โดยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test<br />ผลการศึกษาพบว่า การได้รับความรู้เกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยได้รับความรู้ เกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย จำนวน 68 คน (ร้อยละ 100) การประเมินพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยประเมิน จำนวน 66 คน (ร้อยละ 97.05) เคยประเมิน จำนวน 2 คน (ร้อยละ 2.95) การเคยใช้คู่มือ DSPM (Developmental surveillance and promotion manual) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยใช้คู่มือเลย จำนวน 68 คน (ร้อยละ 100) มีระดับค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) แนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคายจำแนกเป็น 5 ส่วน สร้างความรู้ความเข้าใจ การกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ การเข้าถึงติดตาม การให้คำปรึกษา ระยะเวลาในการคัดกรองพัฒนาการ การพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย ช่วยทำให้เกิดความรู้และการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่เพิ่มขึ้น</p>
2025-05-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1140
การพยากรณ์การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุของประเทศไทย
2025-06-06T15:55:37+07:00
สุชาณันท์ ธัญญกุลสัจจา
suchanan.t@siu.ac.th
ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ
chatsiri.c@siu.ac.th
<p>ประเทศไทยจัดอยู่ในระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ สถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไประหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง 2566 โดยเฉลี่ยต่อปี มีอัตราต่อแสนคนของผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยนอก 1,547 ราย ผู้ป่วยใน 595 ราย และเสียชีวิต 12 ราย ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ยังไม่มีรายงานสถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. 2567 แต่อย่างใด การวิจัยเชิงพยากรณ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์สถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปปี พ.ศ. 2567 และ พ.ศ. 2568 โดยรวบรวมข้อมูลจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พยากรณ์โดยใช้ทฤษฎีระบบเกรย์ เนื่องจากมีข้อมูลรายปีจำกัดเพียง 7 ปีเท่านั้น ผลการพยากรณ์ พบว่า การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุกลับมีค่าความแม่นยำเพียงมีเหตุผลพอที่จะใช้พยากรณ์ได้เท่านั้น (MAPE 17.52-26.90) ทำให้พยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในสูงจากปี พ.ศ. 2566 และ 2567 มาก เมื่อพิจารณารูปแบบการเปลี่ยนแปลงปีต่อปีของจำนวนผู้ป่วยนอกที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ พบว่า มีความผันผวนสูงมาก การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ และการพยากรณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้ม พบว่า มีค่าความแม่นยำ MAPE อยู่ในเกณฑ์ใช้พยากรณ์ได้ดีและแม่นยำสูงตามลำดับ (MAPE 9.26-15.45 และ 4.15-4.60 ตามลำดับ) ค่าพยากรณ์ที่ได้นี้สามารถใช้ในการจัดทำนโยบาย วางแผนป้องกัน และจัดสรรทรัพยากรในการบริหารงานสาธารณสุขต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1081
ความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนกับกลุ่มโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
2025-05-27T16:02:59+07:00
ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ
chatsiri.c@siu.ac.th
วัฒนา ชยธวัช
vadhana.j@ptu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM<sub>2.5 </sub>กับกลุ่มโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูลรายเดือนในท้องที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 46 เดือน ค่าเฉลี่ยรายเดือนฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM<sub>2.5</sub>) รวบรวมรวมจากกรมควบคุมมลพิษ และจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศรวบรวมจากรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และคำนวณความเสี่ยงสัมพัทธ์ด้วยตัวแบบการถดถอยควอไซ-ปัวซงและตัวแบบการถดถอยทวินามลบ ผลการศึกษาพบว่า เมื่อค่า PM<sub>2.5 </sub>สถานีเชียงใหม่ - โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย (36T) เพิ่มขึ้น 10 มคก./ลบ.ม. จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากค่าเฉลี่ย สำหรับตัวแบบการถดถอยทวินามลบโรคปอดอุดกั้นเรื้องรังค่า PM<sub>2.5 </sub>สถานี 36T เพิ่มขึ้น 10 มคก./ลบ.ม. จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากค่าเฉลี่ย กล่าวได้ว่า สามารถคำนวณความเสี่ยงจำนวนผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้นตามความเปลี่ยนแปลงของค่า PM<sub>2.5 </sub>ในพื้นที่ได้ เพื่อการวางแผนงานสาธารณสุขที่เหมาะสมต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1042
การศึกษาเทคนิคการจัดกลุ่มโดย Machine Learning ในหุ้น SET100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-01-13T12:29:49+07:00
พัชร นพคุณมงคลชัย
64143410@g.cmru.ac.th
ปรารถนา มินเสน
pradthana_min@g.cmru.ac.th
ปิยะชาติ เวียงนาค
piyachart@g.cmru.ac.th
<p>การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหนึ่งในช่องทางในการลงทุน ที่นำมาซึ่งผลตอบแทนมหาศาลแต่ผลตอบแทนดังกล่าวก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นภารกิจหลักของนักลงทุนที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยง บทความนี้นำเสนอวิธีการจัดกลุ่ม โดย Machine Learning ในหุ้น SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเทคนิคแบบ Unsupervised Learning ประกอบด้วยเทคนิค K-means, Hierarchical, DBSCAN และ Fuzzy C-means โดยเทคนิคเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงคล้ายกันได้ ในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังหุ้น SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหุ้นสามัญ 100 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงและการซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอถือว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป ในการจัดกลุ่มได้นำเอา อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) และ ค่าความเสี่ยงของหุ้น (BETA) ระยะเวลา 3 ปี 274 ตัว ผลการจัดกลุ่มทั้ง 4 วิธี พบว่า K-means สามารถจัดออกมาได้ 3 กลุ่มได้แก่กลุ่มที่ หุ้นปลอดภัยแต่ให้ปันผลต่ำ 192 ตัว หุ้นปันผลสูง ความเสี่ยงต่ำ 4 ตัว และ หุ้นเติบโตและมีความเสี่ยงสูง 78 ตัวส่วนเทคนิค Hierarchical สามารถจัดกลุ่มได้ 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ หุ้นปลอดภัยแต่ให้ปันผลต่ำ 163 ตัว หุ้นปันผลสูง ความเสี่ยงต่ำ 4 ตัว และ หุ้นเติบโตและมีความเสี่ยงสูง 107 ตัวส่วนเทคนิค DBSCAN แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่กลุ่มหลัก 266 ตัว นอกกลุ่ม 8 ตัวส่วนเทคนิค Fuzzy C-means แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่หุ้นปันผลสูงและความเสี่ยงต่ำ 89 ตัว หุ้นที่มีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน 138 ตัว และหุ้นที่มีความผันผวนสูง 47 ตัว</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1031
การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ : กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก
2024-12-27T18:50:29+07:00
กันย์ลภัส ลืมสายธาร
64123905@g.cmru.ac.th
ศิริพงศ์ ศิริสวัสดิ์
Siriphong@g.cmru.ac.th
<p>เพื่อนรัก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก โดยใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) ของลูกค้าที่มาใช้ระบบ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรักและแบบสอบถามความพึงพอใจในประสิทธิภาพของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ผู้ดูแลระบบ (เจ้ากิจการ) สามารถจัดการข้อมูลสินค้า จัดการข้อมูลคำสั่งซื้อประจำวัน/เดือน/ปี จัดการข้อมูลสมาชิก จัดการข้อมูลการจัดส่งประจำวัน/เดือน/ปี และสามารถดูรายงานในส่วนของผู้ดูแลระบบได้ และสมาชิกสามารถจัดการการสั่งซื้อ แจ้งการชำระเงินรวมถึงดูรายงานประวัติการสั่งซื้อได้ 2) ผลการประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจจากลูกค้า พบว่า ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.78 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.38 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ด้านการออกแบบและจัดการรูปแบบเว็บไซต์ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.34 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด และด้านการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.85 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.34 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1051
การพัฒนาเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์
2025-01-23T16:26:59+07:00
ภราดร กองดี
65121843@g.cmru.ac.th
พิมพ์ชนก สุวรรณศรี
pimchanok_tham@cmru.ac.th
<p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนาเกมจำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ด้วยโรบล็อกซ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกมที่ให้ความรู้เรื่องการประกอบคอมพิวเตอร์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างของผู้ทดลองเล่นเกมคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จำนวน 30 คน ในกระบวนการพัฒนาได้ใช้ เกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือหลักพร้อมทั้งใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ รวบรวมความคิดเห็นของผู้เล่น วิเคราะห์ผลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เกมสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยเพิ่มความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับการประกอบคอมพิวเตอร์ และส่งเสริมทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบเกมพัฒนาด้วยแนวคิดกึ่งเสมือนจริงโดยเน้นการผสมผสานองค์ประกอบที่สมจริง เพื่อสร้างบรรยากาศที่คล้ายสถานการณ์จริง โดยใช้โมเดลที่มีอยู่ในโปรแกรมโรบล็อกซ์สตูดิโอ (Roblox studio) นอกจากนี้ โมเดลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น เมนบอร์ด หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) การ์ดจอ (GPU) หน่วยความจำ (RAM) และอื่น ๆ ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นใหม่ด้วยโปรแกรมเบลนเดอร์ (Blender) เพื่อเพิ่มความสมจริงและความน่าสนใจให้กับ เกมการพัฒนาเกมใช้โปรแกรมโรบล็อกซ์สตูดิโอ (Roblox studio) ด้วยภาษาลูอา (LUA) เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาระบบภายในเกม เนื่องจากเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์นี้จำเป็นต้องโหลดข้อมูลกราฟิกที่มีขนาดใหญ่และรายละเอียดสูง เพื่อการแสดงผลภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่ดีจะช่วยให้เกมสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล ลดปัญหาการกระตุก และเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้เล่น ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เล่นที่มีต่อเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ ผู้เล่นมีระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.60 โดยผู้เล่นมีความคิดเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับการออกแบบที่น่าสนใจ ลำดับขั้นตอนการเล่นที่ชัดเจน และประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับจากเกม ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน