https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
2025-10-29T14:56:01+07:00
Asst. Prof. Dr. Rungnapa Tagun (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา ทากัน)
research_journal@g.cmru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่เป็นปีที่ 3 <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 8 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1089
การประมาณค่าพารามิเตอร์เหมาะที่สุดในวิธีโฮลต์-วินเทอร์และการแยกส่วนประกอบด้วยอัลกอริทึมการค้นหาแบบนกกาเหว่า : การพยากรณ์ปริมาณน้ำไหลรายเดือนเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศไทย
2025-10-29T14:55:55+07:00
กาญจนา ทองบุญนาค
kanjana.t@nrru.ac.th
วิระภรณ์ ไหมทอง
wiraporn@g.cmru.ac.th
<p>การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินประสิทธิภาพของตัวแบบ ซึ่งผสานอัลกอริทึม การค้นหาแบบนกกาเหว่า (Cuckoo search: CS) เข้ากับวิธีโฮลต์-วินเทอร์ (CS-HW) และวิธีการแยกส่วนประกอบ (CS-D) สำหรับการพยากรณ์ปริมาณน้ำไหลรายเดือนเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศไทยจำนวน 5 แห่ง โดยเปรียบเทียบกับโปรแกรมสำเร็จรูป ได้แก่ โปรแกรม Minitab (Minitab-D) และโปรแกรม Excel (ForecastSheet-HW) ในระยะชุดข้อมูลฝึกฝน พบว่า CS-HW และ CS-D สามารถให้ค่าความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (Mean absolute error: MAE) ต่ำกว่าวิธีโปรแกรมสำเร็จรูป แสดงถึงศักยภาพในการค้นหาค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมยิ่งขึ้น<br />สำหรับระยะชุดข้อมูลทดสอบ ได้คัดเลือกตัวแบบสำหรับแต่ละอ่างเก็บน้ำ โดยใช้เกณฑ์ MAE ต่ำสุด ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ เลือก ForecastSheet-HW เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับเสลา เลือก CS-HW และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เลือก Minitab-D เมื่อใช้ตัวแบบที่ถูกคัดเลือกมาพยากรณ์ล่วงหน้า 24 เดือน พบว่า ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนทั้ง 5 แห่งมีลักษณะฤดูกาลชัดเจน โดยมีค่าสูงสุดในช่วงฤดูฝน (เดือนสิงหาคม–ตุลาคม) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการผสานอัลกอริทึมเมตาฮิวริสติกส์อย่าง CS เข้ากับตัวแบบอนุกรมเวลาแบบดั้งเดิม สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ และเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในอนาคต</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1131
ประสิทธิภาพของเปลือกถั่วลิสงในการดูดซับสีย้อมจากน้ำเสียในกระบวนการย้อมสีผ้าชุมชน
2025-10-29T14:55:50+07:00
ชุติกาญจน์ จันทรัตน์
Chutikarn9617@gmail.com
นัยน์เนตร มีนาค
nainate.m@gmail.com
จารุวรรณ วงค์ทะเนตร
jaruwan.won@mahidol.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมของขนาดเปลือกถั่วลิสงน้อยกว่าและมากกว่า 2 มิลลิเมตร ค่าพีเอชเริ่มต้น 5, 6, 7, 8, 9 ระยะเวลาการสัมผัส 30, 45, 60, 75 นาที และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการดูดซับในการกำจัดสีย้อมผ้าที่ปนเปื้อน รวมทั้งศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยาของเปลือกถั่วลิสงที่ดูดซับสีย้อมผ้าด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) ซึ่งดำเนินการทดลองโดยนำเปลือกถั่วลิสงขนาดต่างๆน้ำหนัก 20 กรัม ใส่ลงในน้ำเสียจากกระบวนการย้อมสีผ้าปริมาตร 150 มิลลิลิตร ในขวดลูกชมพู่ขนาด 250 มิลลิเมตร และเขย่าที่ความเร็วรอบ 150 รอบ/นาที ผลการศึกษา พบว่า น้ำเสียจากกระบวนการย้อมสีผ้ามีลักษณะเป็นสีน้ำเงินปนม่วงเข้ม และมีค่าสี 11,600 ADMI โดยสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการดูดซับสี ได้แก่ ค่าพีเอชเริ่มต้นที่ 5 ระยะเวลาสัมผัส 30 นาที และใช้เปลือกถั่วลิสงที่มีขนาดน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพการดูดซับสีได้สูงสุดถึงร้อยละ 89.65 จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเปลือกถั่วลิสงสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุดูดซับชีวมวลสำหรับการบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นจากกระบวนการย้อมผ้าในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1096
การปนเปื้อนของเชื้อสเตรปโตคอคคัส ซูอิส ในเนื้อ อวัยวะ และเลือดของสุกรจากตลาดค้าปลีกในจังหวัดพะเยา ประเทศไทย
2025-10-29T14:55:52+07:00
คณิตาพร สุภาเดช
kanittapon.su@up.ac.th
ณัฐดนัย เทพกิจ
mark_nutdanai123@hotmail.com
ซูซู –
susunosurname@gmail.com
เบญจมาศ สุระเดช
benjamart.su@up.ac.th
<p>สเตรปโตคอคคัส ซูอิส (<em>Streptococus suis</em>; <em>S. suis</em>) เป็นเชื้อก่อโรคสำคัญในมนุษย์ โดยสามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายเมื่อสัมผัสโดยตรงกับสุกรหรือผลิตภัณฑ์จากสุกรที่ปนเปื้อน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการปนเปื้อนของเชื้อ <em>S. suis</em> และ <em>S. suis</em> ซีโรไทป์ (serotype) 2 หรือ 1/2 ในเนื้อสุกรบด เนื้อสันใน อวัยวะภายในของสุกร ได้แก่ หัวใจ ตับและเลือด จากตลาดค้าปลีกในจังหวัดพะเยา ประเทศไทย ทำการเพาะเลี้ยงเชื้อจากตัวอย่างทั้งหมดใน Todd-Hewitt broth ที่มี Streptococcus Selective Supplement และตรวจหา <em>S. suis</em> และ <em>S. suis</em> ซีโรไทป์ 2 หรือ 1/2 ด้วยเทคนิค Multiplex polymerase chain reaction (PCR) จากจำนวน 66 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อนของ <em>S. suis</em> และ <em>S. suis</em> ซีโรไทป์ 2 หรือ 1/2 คิดเป็นร้อยละ 62.1 และ 15.2 ตามลำดับ โดยพบการปนเปื้อนในตัวอย่างเลือดมากที่สุด การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อ <em>S. suis</em> จากการบริโภคเนื้อสุกรและอวัยวะสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุก การทำงานใกล้ชิดหรือสัมผัสกับเนื้อสุกรดิบ และอวัยวะสุกร ดังนั้นควรส่งเสริมการรณรงค์ด้านความปลอดภัยของอาหาร เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1138
การพัฒนารูปแบบบริการให้ยืมกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์จังหวัดลพบุรี
2025-10-29T14:55:48+07:00
สุชาญวัชร สมสอน
suchanwat.somsorn@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และ ประเมินผลรูปแบบบริการให้ยืมกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม เอ ไอ ซี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดลพบุรี และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดลพบุรี จำนวน 25 คน และผู้รับบริการให้ยืมกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์ จำนวน 85 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และชุดคำถามปลายเปิดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br />ผลการศึกษา พบว่า 1) ผู้พิการ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และผู้ที่มีความจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในพื้นที่จังหวัดลพบุรีไม่สามารถเข้าถึงกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้อย่างครอบคลุม และหน่วยบริการขาดแคลนการอุปกรณ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นจากการศึกษา เป็นรูปแบบบริการให้ยืมกายอุปกรณ์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และจัดการข้อมูลด้วยระบบดิจิทัล ให้คำแนะนำวิธีการใช้กายอุปกรณ์และการดูแลรักษา และประสานงานสหวิชาชีพในพื้นที่ในการดูแลต่อเนื่อง ภายใต้ศูนย์ยืมกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี 3) นำรูปแบบไปใช้เป็นระยะเวลา 2 เดือน 4) ประเมินผล พบว่า ผู้พิการ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และผู้ที่มีความจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในพื้นที่จังหวัดลพบุรีสามารถเข้าถึงกายอุปกรณ์ได้อย่างทั่วถึง รวมถึงสามารถดำเนินชีวิตตามปกติวิถีได้อย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้น และระดับความพึงพอใจภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ข้อเสนอแนะ ควรเพิ่มรายการกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์ให้มีความครอบคลุมกับความต้องการของผู้รับบริการ และควรเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์ของบริการให้ยืมกายอุปกรณ์และอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/989
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยทีมหมอครอบครัว ต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
2025-10-29T14:56:01+07:00
มนเฑียร ทาคำ
ten2390@hotmail.com
จันทร์จีรา ยานะชัย
janjeera905@gmail.com
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยทีมหมอครอบครัวต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันไม่ได้ ใช้การเลือกแบบเจาะจง เข้ากลุ่มทดลอง 60 คน เข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยทีมหมอครอบครัวจำนวน 4 ครั้ง และกลุ่มควบคุม 60 คน ได้รับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพด้วยวิธีปกติ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยทีมหมอครอบครัว แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แบบประเมินระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Independent t-test และ Dependent t-test<br />ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมของกลุ่มทดลองความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P-value = 0.001) พฤติกรรมสุขภาพสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P-value = 0.001) ระดับความดันโลหิตซิสโตลิกดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P-value = 0.004) และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P-value = 0.024 ) สรุปผลการศึกษาแสดงว่าโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยทีมหมอครอบครัวมีผลในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ด้วยการให้ความรู้ที่เหมาะสม การติดตามและการประเมินผลอย่างต่อเนื่องโดยทีมหมอครอบครัว และการสนับสนุนจากครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงของโรคในระยะยาว</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1061
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ 3 มิติ ผ่าน เมตาเวิร์ส เรื่อง องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่
2025-10-29T14:56:00+07:00
ปิยะพัฒน์ ผ่องวิลัย
65121838@g.cmru.ac.th
ปณิดา ถาหล้า
65121809@g.cmru.ac.th
พิมพ์ชนก สุวรรณศรี
pimchanok_tham@cmru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ 3 มิติผ่านเมตาเวิร์ส เรื่ององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการใช้งานสื่อดังกล่าว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สื่อการเรียนรู้ 3 มิติผ่านเมตาเวิร์ส เรื่ององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ปีที่1 สาขา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบเจาะจง ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ 3 มิติผ่าน เมตาเวิร์ส เรื่ององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ประกอบด้วยเนื้อหาทั้งหมด 6 บท คือ บทบาทและประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การใช้งานและติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดแวร์ ผู้เรียนสามารถเลือกเข้าถึงเนื้อหาได้ผ่านปุ่มควบคุม สามารถใช้งานได้ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก ไอแพด และแท็บเล็ต 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างหลังจากใช้งานสื่อพบว่า มีความพึงพอใจเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 จัดอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1070
การพัฒนาระบบจัดการการเรียนอักษรเบรลล์สำหรับสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ
2025-10-29T14:55:57+07:00
กัญญาวีร์ ปู่เงิน
65121860@g.cmru.ac.th
กุลวดี จอมวรรณ
kunlawadee.nj@gmail.com
ภิยะดา สระทองคุ้ม
65121805@g.cmru.ac.th
ศิริกรณ์ กันขัติ์
sirikorn@g.cmru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อการพัฒนาระบบจัดการชั้นเรียนอักษรเบรลล์ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้งานระบบจัดการชั้นเรียนอักษรเบรลล์ โดยยึดหลักการทำงานวงจรการพัฒนาระบบ เอสดีแอลซี โดย ประชากร คือ อาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วย อาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ระบบจัดการชั้นเรียนอักษรเบรลล์ ออกแบบและพัฒนาฐานข้อมูลโดยใช้โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล มายเอสคิวเอล เขียนโปรแกรมด้วยภาษา เอชทีเอ็มแอล , พีเอชพี และจัดการทำเว็บด้วยโปรแกรม วิชวล สตูดิโอ โค้ด 2) แบบประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบจัดการชั้นเรียนอักษรเบรลล์ วิเคราะห์ผลทางสถิติด้วยค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งมีผลวิจัยดังนี้ 1) ระบบจัดการชั้นเรียนอักษรเบรลล์ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.1) ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการและออกรายงานการเข้าใช้งานของผู้ใช้ระบบได้ 1.2) อาจารย์สามารถสร้างชั้นเรียน สร้างงานอักษรเบรลล์ และตรวจงานอักษรเบรลล์ได้ 1.3) นักศึกษาสามารถเข้าร่วมชั้นเรียน และทำงานอักษรเบรลล์ส่งได้ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าระบบมีความเหมาะสมทั้งด้านการใช้งาน ความสะดวก และการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ โดยเฉพาะในด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบในการสนับสนุนการเรียนการสอนอักษรเบรลล์ได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1095
Efficacy Test of Hypochlorous Acid from Thai Rock Salt
2025-10-29T14:55:53+07:00
Suravut Snidvongs
airscan_t@yahoo.com
Supalak Fakkham
supaluk.fu@ssru.ac.th
<p>HOCl is an antiseptic solution for wounds produced from pure salt, with a concentrated free chlorine of 0.05%, pH 6-7 and ORP of 800-950 mV. Traditional Thai medicine uses salt to heal wounds and prevent rotting, giving rise to the idea of developing HOCl from Thai salt, sea salt, rock salt, and pink Himalayan salt to replace high-cost imported HOCl such as Envirolyte™, the purpose of which is to test the composition and physical properties of sea salt, Thai rock salt from 3 sources, and pink Himalayan rock salt from Pakistan compared to pure salt. Salt that has been tested for physical properties and contaminants is produced into Thai HOCl and tested for components. Physical Properties and Performance Compared to the standards of the Centers for Disease Control and Prevention (CDC) and the U.S. Environmental Protection Agency (EPA). Methods A review of the benefits of salt in Thai traditional medicine recipes. Sea salt, rock salt, pink Himalayan rock salt, refined salt, Faraday's Law of Electrolysis, HOCl, Envirolyte<sup>TM</sup>. Results HOCl produced from Thai salt had an initial pH of 8.25 and an ORP of 1,100 mV. Efficacy tests showed that 100% concentration reduced germ content (Colony-forming unit (CFU) reduced pathogens up to 0 CFU log 6 in 3 minutes, 15 minutes, 30 minutes, and 60 minutes, concentration of 10% reduced pathogens up to 0 CFU log 6 in 3 minutes, 15 minutes, 30 minutes and 60 minutes, 10% concentration reduced pathogens up to 50 CFU log 5 in 3 minutes, 4 CFU log 5 in 15 minutes, 0 CFU log 5 in 30 minutes, and 0 CFU log 6 in 60 minutes. Thai HOCl was able to reduce the number of bacteria to an undetectable basis throughout the study period. In summary, each salt source has a different amount of sodium chloride and impurities. Rock salt from the South Salt Pond, Bo Klea District, Nan Province is of the best quality, suitable for the production of Thai HOCl, which has properties and efficacy similar to Envirolyte™ and meets CDC/EPA standards. Thai HOCl can be effectively used in general sanitation, food sanitation, and food contact surfaces. Thai HOCl is highly effective against various pathogens at a more affordable price than foreign HOCl with the same standard.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน