https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
2025-12-03T11:43:55+07:00
Asst. Prof. Dr. Rungnapa Tagun (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา ทากัน)
research_journal@g.cmru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่เป็นปีที่ 3 <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 8 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1191
Phenotypic Characterization and Production Performance of Thai Native Samae Dam Chicken (Gallus gallus) for Conservation and Learning in Uthai Thani Province, Thailand
2025-12-03T11:43:43+07:00
Thunwa Wiyabot
thunwa.w@nsru.ac.th
<p>This research aimed to establish learning centers and a breeding network for the Samae dam chicken (<em>Gallus gallus</em>) in Thailand. The study recorded phenotypic characteristics and production efficiency and promoted sustainable self-reliance among local farmers. The data were analyzed using SPSS version 16 (alpha reliability coefficient 0.80). The breed's physical characteristics were comprehensively recorded, revealing specific factors such as black color in males (beak, legs, nails, wing/tail feathers) and small black feathers in females. Production data showed that hens had an egg weight of 45-50 g, chicks had a chick weight of 35-40 g at birth, a hatching rate of 60-100%, and a hatching mortality rate of 30-40%. An 8-month growth study showed that males had a body weight of 3,700±95.00 g with a growth rate of 16.65±3.87g/day (FCR 4.35±0.42), while females had a body weight of 2,600±78.50 g with a growth rate of 13.33±3.38 g/day (FCR 4.26±0.40). Farmer participation was essential to the success of the Samae Dam chicken (<em>Gallus gallus</em>) conservation network. The research used quantitative analysis questionnaires. Over 30 farmers from three districts improved their skills in chick rearing, disease prevention, and farm management through the learning center. Knowledge sharing and breeding stock exchange strengthened the local network. Using local feed ingredients and simple breeding methods reduced production costs by 10–15%. Farmers became more confident and willing to transfer knowledge, reflecting the learning center’s long-term sustainable impact.</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1128
ฤทธิ์ต้านอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และองค์ประกอบเคมีเบื้องต้นด้วยวิธีโครมาโทกราฟี ของสารสกัดเอทานอลจากไพลสามชนิดและหญ้าเอ็นยืด
2025-12-03T11:43:47+07:00
สุพัตร์ หลังยาหน่าย
supat_lan@g.cmru.ac.th
รัฐพรรณ สันติอโนทัย
Ruthphan_san@g.cmru.ac.th
เบญจวรรณ ยันต์วิเศษภักดี
Benjawan.ya@skru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลอง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และองค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้นของสารสกัดเอทานอลจากไพลสามชนิด ได้แก่ ไพลเหลือง (<em>Zingiber cassumunar </em>Roxb.) ไพลดำ (<em>Zingiber ottensii</em> Valeton) ไพลขาว (<em>Zingiber kerrii</em> Craib) และหญ้าเอ็นยืด (<em>Plantago major</em> L.) ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้ในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในการบรรเทาอาการปวดและอักเสบ โดยใช้วิธีการสกัดด้วยเอทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และศึกษาผลการยับยั้งการอักเสบเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน Diclofenac diethylammonium รวมทั้งทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดไพลทั้งสามชนิดมีลักษณะกายภาพเป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว สีและกลิ่นแตกต่างกันตามชนิดของพืช การวิเคราะห์ด้วยโครมาโทกราฟีแบบบาง (TLC) พบว่าสารสกัดไพลเหลือง ไพลดำ และไพลขาวมีค่า Rf (Rate of flow) ใกล้เคียงกันในทุกระบบตัวทำละลายเคลื่อนที่ ในขณะที่สารสกัดหญ้าเอ็นยืดมีค่า Rf แตกต่างออกไป และไม่มีสารใดที่มีค่า Rf ใกล้เคียงกับยามาตรฐาน Diclofenac diethylammonium ในทุกระบบตัวทำละลาย การทดสอบฤทธิ์ต้านอักเสบในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดไพลเหลือง ไพลดำ และไพลขาวมีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 0.67±0.00, 3.85±0.25 และ 1.41±0.11 mg/ml ตามลำดับ ขณะที่ยามาตรฐาน Diclofenac diethylammonium มีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 0.33±0.02 mg/ml และไม่พบฤทธิ์ต้านอักเสบในสารสกัดหญ้าเอ็นยืด นอกจากนี้ การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดไพลเหลืองและไพลดำมีค่า EC<sub>50</sub> เท่ากับ 373.44±0.50 และ 438.49±0.22 µg/ml ตามลำดับ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าไพลขาวและหญ้าเอ็นยืด (EC<sub>50</sub> > 1000 µg/ml) แต่ยังต่ำกว่าสารมาตรฐาน Ascorbic acid (EC<sub>50</sub> = 8.64±0.10 µg/ml) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P<0.05</em>) สรุปได้ว่าสารสกัดเอทานอลจากไพลทั้งสามชนิด โดยเฉพาะไพลเหลือง มีศักยภาพในการต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระในระดับที่ดี สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยทดแทนยาสังเคราะห์และสนับสนุนการแพทย์แผนไทยอย่างยั่งยืน</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1102
ผลของปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ต่อการเจริญของกระชาย
2025-12-03T11:43:49+07:00
วันวิสาข์ ลิจ้วน
wanwisa.l@lawasri.tru.ac.th
กัลย์สุดา ดวงศรีแก้ว
kansuda.d@lawasri.tru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ต่อการเจริญของกระชาย ทำการเตรียมน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ โดยมีสวนผสมมูลไก่ : กากนํ้าตาล : นํ้า : สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 เท่ากับ 5 : 5 : 10 : 12.50 กิโลกรัม/กิโลกรัม/ลิตร/กรัม ทำการหมักเป็นเวลา 45 วัน ผลการศึกษาพบว่า ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่มีค่าความเป็นกรด - ด่าง เท่ากับ 4.42 และค่าการนำไฟฟ้า เท่ากับ 33.80 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร ไนโตรเจนทั้งหมด ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ โพแทสเซียมที่ละลายน้ำ และค่าอินทรียวัตถุ เท่ากับ 0.58, 0.66, 1.03 และ 7.95 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ต่อการเจริญของกระชายในระดับกระถาง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ประกอบด้วย 3 กรรมวิธีๆ ละ 4 ซ้ำ ๆ ละ 5 กระถาง ดังนี้ กรรมวิธีที่ 1 คือ ชุดควบคุม (น้ำ) กรรมวิธีที่ 2 คือ น้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 50 มิลลิลิตร และกรรมวิธีที่ 3 คือ น้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร ผลการศึกษาพบว่า กรรมวิธีที่ 2 มีจำนวนรากเฉลี่ยมากที่สุด เท่ากับ 19.55 ราก และน้ำหนักสดเฉลี่ยมากที่สุด เท่ากับ 107.12 กรัม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยความสูง และจำนวนใบในทุกกลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ดังนั้น สรุปได้ว่าปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ สามารถส่งเสริมการเจริญของกระชายได้ และสัดส่วนของน้ำหมักชีวภาพต่อน้ำที่ 1 : 50 มีความเหมาะสมต่อการเจริญของกระชายมากที่สุด</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1282
ผลของการติดตั้งแสลนร่วมกับระบบพ่นน้ำฝอยและพัดลมภายในโรงเรือนต่อสภาพความร้อนและสมรรถภาพการผลิตของโคเนื้อ
2025-12-03T11:43:40+07:00
พิพัฒน์ ชนาเทพาพร
piphat.cha@pcru.ac.th
จันทร์จิรา โต๊ะขวัญแก้ว
janjira.toh@pcru.ac.th
เฉลิมพันธ์ ตันทะรา
chalermpan.tan@pcru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการติดตั้งอุปกรณ์ลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนโคเนื้อ ต่อสภาพอากาศภายในโรงเรือน ภาวะความเครียดจากความร้อน และสมรรถภาพการผลิตของสัตว์ วางแผนการทดลองแบบ การทดสอบค่าที (T-test) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรที่สนใจระหว่างโรงเรือนที่แตกต่างกัน โดยใช้โคเนื้อลูกผสมชาร์โรเล่ส์ จำนวน 6 ตัว และโคเนื้อลูกผสมวากิว จำนวน 6 ตัว และแบ่งโคลูกผสมทั้ง 2 สายพันธุ์ออกเป็น 2 กลุ่มทดลอง กลุ่มละ 6 ตัว โดยกลุ่มแรกเลี้ยงในโรงเรือนมาตราฐาน (กลุ่มควบคุม) และกลุ่มที่สองเลี่ยงในโรงเรือนที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ โคทุกกลุ่มได้รับอาหารผสมสำเร็จ (TMR) ที่มีระดับโปรตีน 16% ผลการศึกษาพบว่า อุปกรณ์ลดอุณหภูมิที่ติดตั้งในการทดลองนี้ไม่ส่งผลกระทบ ต่อค่าเฉลี่ยของดัชนีสภาพภูมิอากาศภายในโรงเรือน ได้แก่ ดัชนีอุณหภูมิกระเปาะเปียกและโกลบ อุณหภูมิกระเปาะแห้ง เปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิภายในกระเปาะดำ อุณหภูมิกระเปาะเปียก และอุณหภูมิจุดน้ำค้างทั้งในช่วงเช้าและบ่าย (P>0.05) อุณหภูมิผิวหนังและอุณหภูมิทวารหนัก (P>0.05) นอกจากนี้การติดตั้งอุปกรณ์ลดอุณหภูมิไม่ส่งผลต่อสมรรถภาพการผลิตของโค ได้แก่ ปริมาณการกินได้ อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อตัวต่อวัน น้ำหนักเมื่อสิ้นสุดการทดลอง และการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว (P>0.05) แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ในครั้งนี้อาจยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ดังนั้นในอนาคตอาจต้องศึกษาและพัฒนาอุปกรณ์ลดอุณหภูมิชนิดอื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า รวมถึงการปรับปรุงการจัดการระบบภายในโรงเรือน เพื่อให้ลดผลกระทบจากความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโคเนื้อได้</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1129
ออกแบบและพัฒนาต้นแบบการปลูกองุ่นแบบอัตโนมัติด้วย IoT เพื่อส่งเสริมการมีรายได้ชุมชน
2025-12-03T11:43:45+07:00
เชาวลิต จันภิรมย์
chaovarit@sbu.southeast.ac.th
<p>ในการศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบปลูกองุ่นแบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี โดยการควบคุมผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสำหรับต้นแบบในการส่งเสริมรายได้ชุมชน และทดลองการทำงานระบบวัสดุปลูกพืชแบบแนวตั้งโดยการควบคุมผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทุกสรรพ วิธีการดำเนิน ออกแบบวงจรและนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งเข้ามาใช้งานร่วมกับใช้ Node MCU ESP8266 ทำงานร่วมกับ DHT11 และ Relay เพื่อใช้ในการปิด – เปิดระบบและนำแอปพลิเคชั่น Blynk เข้ามาใช้ควบคุมซึ่งใช้การควบคุมผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่าการทำงานของระบบสามารถทำงานได้ 100%ต้นแบบการปลูกองุ่นโดยใช้ระบบIoT ช่วยให้ต้นองุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่าในทุกๆด้าน ทั้งความสูง จำนวนใบ และน้ำหนักผล โดยเฉพาะในช่วงเดือน 3-6 ซึ่งแสดงเห็นถึงการตอบสนองที่ดีจากการใช้ระบบ IoT ในการควบคุมและ พบว่าผลการทำงานของระบบการเปิด-ปิด การให้น้ำ และปุ๋ยน้ำโดยผ่านแอพพลิเคชั่น และระบบ Manual สามารถทำงานได้ 100 % ระดับพลังงานแบตเตอร์ที่ใช้ ลดลง10 % <strong> </strong>เปรียบเทียบความคุ้มค่าของชุดเพาะปลูกโดยมีการเปรียบเทียบจาก ค่าไฟฟ้า ค่าการลงทุน ค่าปุ๋ย และค่าแรงงาน พบว่า การปลูกมีระบบควบคุมมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์มากกว่า ชุดการปลูก ที่ใช้คนดูแล ซึ่งลักษณะการทำเกษตรแนวใหม่นี้เทียบเคียงระบบสมาร์ทฟาร์ม พบว่า ความเป็นไปได้ของโครงการมีความเหมาะสมในการลงทุน</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1079
การใช้ประโยชน์ป่าไม้ ความเข้าใจกฎหมาย และการสร้างระเบียบชุมชนเพื่อความยั่งยืน ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์บ้านโปง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่
2025-12-03T11:43:51+07:00
สุธีระ เหิมฮึก
h.sutheera@gmail.com
วิชญ์ภาส สังพาลี
sci.ocu@gmail.com
จุฑามาศ อาจนาเสียว
atnaseoc@gmail.com
ขนิษฐา เสถียรพีระกุล
kanitta.satien@gmail.com
เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง
kriangsa@mju.ac.th
<p>การจะสร้างระเบียบการใช้ประโยชน์จากพื้นที่นั้น ควรทราบข้อมูลพื้นฐานการใช้ประโยชน์ของชุมชนโดยรอบก่อน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทของชุมชนโดยรอบ รูปแบบการใช้ประโยชน์จากป่า ความเข้าใจของชุมชนต่อกฎหมายป่าไม้พื้นฐาน และแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่โครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านโปง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ง ด้วยการออกแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 267 คน เพื่อสัมภาษณ์บริบทชุมชน การใช้ประโยชน์ผลผลิตจากป่าไม้ ทดสอบองค์ความรู้ด้านกฎหมาย และแนวทางการจัดการพื้นที่ป่า ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างในการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 180 คน โดยมีอายุ 46-55 ปี มากที่สุด มีการเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าโดยรอบในตำบลป่าไผ่ทั้งหมดอย่างต่อเนื่องทุกฤดูกาล และมีการใช้ประโยชน์ป่าธรรมชาติทุกครัวเรือนร้อยละ 100 โดย เป็นพืชสมุนไพรมากที่สุด 31 ชนิด การเข้าใจมาตราต่าง ๆ ในหมวดที่ 2 ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติปี 2507 ในระดับปานกลางทุกมาตรา และการสะท้อนจากการสนทนากลุ่มพบว่า ควรมีแนวทางการสร้างกฎ และระเบียบที่ชุมชนยอมรับและสร้างขึ้นเองภายใต้การให้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมป่าไม้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของการขออนุญาตใช้จากกรมป่าไม้ สำหรับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ให้ชัดเจน และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนต่อไป</p> <p> </p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1067
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการศึกษาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในอำเภอเมืองนครราชสีมา
2025-12-03T11:43:53+07:00
มลฤดี ต๊ะคิงษา
40115monruedee@gmail.com
<p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิพื้นผิวสูงสุดตอนกลางคืน และปรากฏการณ์เกาะความร้อน ในช่วงปี พ.ศ. 2556-2566 3) เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อน ในอำเภอเมืองนครราชสีมา ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 108.38 ตารางกิโลเมตร (37.52%) ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมลดลง 134.47 ตารางกิโลเมตร (46.55%) และยังพบว่าอุณหภูมิพื้นผิวตอนกลางคืนเฉลี่ยสูงสุดในปี พ.ศ. 2566 เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2556 0.78 องศาเซลเซียส โดยเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุด ในเดือนธันวาคม 6.27 องศาเซลเซียส การวิเคราะห์ปรากฏการณ์เกาะความร้อนด้วย UTFVI พบว่าพื้นที่ที่เกิดปรากฏการณ์ระดับสูงมาก ในปี พ.ศ. 2566 มีขนาดขยายตัวกว้างกว่าปี พ.ศ. 2556 โดยเฉพาะในทิศตะวันออกเฉียงเหนือและผลการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อน ด้วยวิธี Potential Surface Analysis พบว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำครอบคลุมพื้นที่ 334.56 ตารางกิโลเมตร (43.89%) ความเสี่ยงต่ำมาก 137.63 ตารางกิโลเมตร (18.06%) ความเสี่ยงปานกลาง 110.51 ตารางกิโลเมตร (14.50%) ความเสี่ยงสูง 99.37 ตารางกิโลเมตร (13.04%) และความเสี่ยงสูงมาก มีพื้นที่ 80.15 ตารางกิโลเมตร (10.52%) ซึ่งพบเป็นบริเวณกว้าง ทางตอนกลางของพื้นที่ และทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1055
การพัฒนาสื่อการสอนแอนิเมชัน 2 มิติ เรื่อง การขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำหรับผู้ประกอบการ
2025-12-03T11:43:55+07:00
จริญญา มณีรัตน์
65121802@g.cmru.ac.th
ภัทรวดี วิชัยโย
65121815@g.cmru.ac.th
ศิริกรณ์ กันขัติ์
sirikorn@g.cmru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อการสอนแอนิเมชัน 2 มิติ เรื่องการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำหรับผู้ประกอบการ 2) ประเมินคุณภาพของสื่อการสอน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อสื่อการสอนแอนิเมชัน 2 มิติ เรื่องการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ประกอบการในตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) สื่อการสอนแอนิเมชัน 2 มิติ ที่พัฒนาด้วยโปรแกรม Adobe animate โดยใช้ภาษาไทยในการสื่อสารและจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล 2) แบบประเมินคุณภาพสื่อของผู้เชี่ยวชาญ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อการสอนแอนิเมชัน 2 มิติ ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำมาใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนรู้ให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ผลการประเมินคุณภาพของสื่ออยู่ในระดับมาก และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อสื่อการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-12-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน