https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
2024-12-13T13:03:26+07:00
Asst. Prof. Dr. Rungnapa Tagun (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา ทากัน)
research_journal@g.cmru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่มาแล้ว 3 ปี <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 5 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/919
การศึกษาการปลูกพืชร่วมเพื่อพืชอาหารสัตว์และสมุนไพร
2024-12-13T13:03:23+07:00
จีรภา ง่วนหอม
Jeerapa_Ngu@cmru.ac.th
ปภากร สุทธิภาศิลป์
paphakorn6159@gmail.com
จินตนา สุวรรณมณี
jintana_suw@g.cmru.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะปลูกของสมุนไพรและรูปแบบการวางท่อนพันธุ์ของหญ้า เนเปียร์ที่เหมาะสมในการปลูกพืชร่วม โดยวิเคราะห์การเจริญเติบโต ผลผลิต ปริมาณสารสำคัญในสมุนไพร และองค์ประกอบทางโภชนะในพืชอาหารสัตว์ ผลการวิจัย พบว่า ระยะปลูกสมุนไพรและรูปแบบการวางท่อนพันธุ์ของหญ้าเนเปียร์ที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชร่วมคือระยะปลูกขมิ้นและกระชายดำที่ 100 เซนติเมตร ร่วมกับการวางท่อนพันธุ์แบบ 90 องศา ส่งผลให้น้ำหนักผลผลิตสดขมิ้นและกระชายดำดีที่สุด (P > 0.05) ส่วนปริมาณสารเคอร์คูมินในขมิ้นมีความแตกต่างทางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และได้รับอิทธิพลจากระยะปลูกเพียงอย่างเดียว ส่วนปริมาณฟลาโวนอยด์ในกระชายดำมีความแตกต่างทางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และได้รับอิทธิพลร่วมระหว่างปัจจัยระหว่างระยะปลูกและวิธีการวางท่อนพันธุ์ ส่วนการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปียร์พันธุ์ปากช่อง 1 ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ สำหรับองค์ประกอบทางโภชนะ อาทิ ความชื้น เถ้า โปรตีน เยื่อใยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนโปรตีนและเยื่อใยได้รับอิทธิพลร่วมระหว่างปัจจัยเช่นกัน ซึ่งระยะปลูกส่งผลต่อการให้ร่มเงาของหญ้าเนเปียร์พันธุ์ปากช่อง 1 ทำให้เกิดความแตกต่างด้านการเจริญเติบโตและผลผลิตของสมุนไพร</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/913
การศึกษาความรู้ ความเชื่อมั่นในตนเอง และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าในตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
2024-12-13T13:03:26+07:00
วรวิช ชักชวน
wimonmanee.mek@crru.ac.th
พรรณพัตสา คำวัง
wimonmanee.mek@crru.ac.th
ภาณุพงศ์ พรมเมือง
wimonmanee.mek@crru.ac.th
พัชรินทร์ วินยางค์กูล
wimonmanee.mek@crru.ac.th
เนตรา สมกำลัง
wimonmanee.mek@crru.ac.th
วิมลมณี เมฆขำ
wimonmanee.mek@crru.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าในตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ใช้รูปแบบวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง และเป็นการวิจัยเชิงสำรวจชุมชน เก็บข้อมูลในกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า จำนวน 211 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่มีปริมาณโซเดียม พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม และความเชื่อมั่นตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโซเดียม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อความรู้ ความเชื่อมั่นตนเอง และพฤติกรรมการบริโภคโซเดียม และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน โดยใช้การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย พร้อมทั้งวิเคราะห์ความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ < 0.05 ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อยู่ในช่วงอายุ 41-59 ปี น้ำหนัก 51-70 กิโลกรัม ส่วนสูง 151-170 เซนติเมตร ค่าดัชนีมวลกาย 18.50-22.90 กก./ม² ความดันโลหิตอยู่ในระดับดี การศึกษาสูงสุดในระดับประถมศึกษาและไม่มีโรคประจำตัว กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรู้เกี่ยวกับอาหารที่มีปริมาณโซเดียม อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 56.40) พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 82.90) ความเชื่อมั่นตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโซเดียม อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 51.20) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับ ความรู้ ความเชื่อมั่นตนเองและพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในชุมชน</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/951
ประสิทธิผลของการบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวชร่วมกับการนวดไทยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรมที่มารับบริการในคลินิกการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านน้ำเรื่อง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
2024-12-13T13:03:18+07:00
เจนจิรา อินสอน
kztizzkz@gmail.com
ธีรยา วรปาณิ
freshy_jaa@yahoo.com
ภรภัทร ดอกไม้
p.parapat@gmail.com
ปรายดาว เทพลำลึก
praidao_nana@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลองกลุ่มเดียววัดก่อนหลัง เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวชร่วมกับการนวดไทยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรมที่มารับบริการในคลินิกการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำเรื่อง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จำนวน 35 คน จากการคำนวณด้วยโปรแกรม G*power version 3.1.9.7 ประเมินคะแนนเฉลี่ยอาการปวดและระดับความพึงพอใจ ก่อนและหลังการรักษา ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง เป็นระยะเวลา 5 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลเป็นค่าความถี่ ร้อยละ และ ค่า Paired sample t-test ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มาด้วยอาการปวดแขน ชาแขน ชาปลายนิ้ว โดยกลุ่มส่วนใหญ่มีอาการปวดที่บริเวณหลัง บ่า สะบัก ต้นคอ และไหล่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอิริยาบถไม่ถูกต้องและทำงานหนัก โดยมีอาการปวด 3-5 วัน ส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ร้อยละ 94.29 และเคยมีประสบการณ์การเข้ารับบริการด้วยการนวดไทย ร้อยละ 22.86 นอกจากนี้ พบว่า หลังทดลอง กลุ่มตัวอย่างได้รับการบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวชร่วมกับการนวดไทยมีอาการปวดลดลงมากกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value < 0.05) โดยหลังทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความเจ็บปวดเป็น 4.49, 3.26 และ 1.80 ตามลำดับ เมื่อประเมินค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจ พบว่า หลังทดลอง กลุ่มตัวอย่างได้รับการบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวชร่วมกับการนวดไทยมีความพึงพอใจมากกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value < 0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจเป็น 4.60, 4.71 และ 4.89 ตามลำดับ ดังนั้น ควรมีการส่งเสริมให้มีการบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวชร่วมกับการนวดไทย เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการรักษาอาการปวดจากโรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนบริหารร่างกายด้วยศาสตร์มณีเวช เพื่อช่วยปรับสมดุลโครงสร้างของร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อยจากการทำงาน และช่วยให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/932
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กที่มีธาลัสซีเมียร่วมด้วยในสตรีตั้งครรภ์โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
2024-12-13T13:03:21+07:00
ตรีวิจิตร มุ่งภู่กลาง
rttaya5@hotmail.com
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) เพื่อศึกษาความชุกของภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์ และสาเหตุของภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่มาฝากครรภ์ในคลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ในระหว่างเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 176 ราย โดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา<br />ผลการศึกษา พบว่า จากจำนวนสตรีตั้งครรภ์ 176 ราย มีอายุเฉลี่ย 28.60 ปี ส่วนใหญ่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติคิดเป็น 62.50 % (110 ราย) ค่าฮีมาโตคริตเฉลี่ย 32.90 % ค่าฮีโมโกลบินเฉลี่ย 10.30 g/dL ค่าซีรั่มเฟอร์ริตินเฉลี่ย 77.30 (<em>µg</em>/L) ตรวจพบภาวะขาดธาตุเหล็ก 25 % (44 ราย) คือพบภาวะขาดธาตุเหล็กชนิดรุนแรง 10.20 % (18 ราย) และพบภาวะขาดธาตุเหล็กชนิดปานกลาง 14.80 % (26 ราย) เมื่อนำกลุ่มที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กมาวิเคราะห์ใช้สถิติการถดถอยโลจิสติกส์วิเคราะห์ พบว่า ชนิดของโลหิตจางธาลัสมีซีเมียสัมพันธ์กับการเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย (p = 0.021, odd ratio = 0.708 (95 % CI, 0.528-0.949)) จากจำนวนสตรีตั้งครรภ์ทั้งหมดตรวจพบภาวะโลหิตจางธาลัสซีเมีย 71.60 % (126 ราย) ชนิดที่พบมากที่สุด คือ พาหะธาลัสซีเมียชนิดอี 47.70 % (84 ราย) พบสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางธาลัสซีเมียและมีภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมด้วยคิดเป็น 14.20 % (25 ราย) และเมื่อศึกษาเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ในกลุ่มนี้พบว่าสัมพันธ์กับพาหะธาลัสซีเมียชนิดอีมากกว่าธาลัสซีเมียชนิดอื่น (p = 0.020, odd ratio = 0.365 (95 % CI,0.1568- 0.8509)) จากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ภาวะขาดธาตุเหล็กยังเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของสตรีตั้งครรภ์จังหวัดสกลนครและยังตรวจพบภาวะขาดธาตุเหล็กในสตรีตั้งครรภ์ที่มีโลหิตจางธาลัสซีเมียด้วย</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/954
ปัจจัยกำหนดสุขภาพที่มีอิทธิพลต่อการเกิดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของประชาชนในอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่
2024-12-13T13:03:15+07:00
สุภาภรณ์ เรือนมูล
cokecake1611@gmail.com
สิวลี รัตนปัญญา
siwalee_rat@g.cmru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยกำหนดสุขภาพที่ที่มีอิทธิพลต่อต่อการเกิดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของประชาชนในอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยที่ 1) ปัจจัยระดับปัจเจกบุคคล 2) ปัจจัยระหว่างบุคคล 3) ปัจจัยระดับชุมชน และ 4) ปัจจัยระดับสังคม ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และประชาชนทั่วไป เป็นผู้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จำนวนทั้งหมด 290 คน วิเคราะห์ข้อมูลการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบหาปัจจัยกำหนดสุขภาพที่มีอิทธิพลต่อการเกิดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของประชาชนในอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ด้วยสถิติการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค<br />ผลการศึกษาปัจจัยระดับปัจเจกบุคคล พบว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่า 2.173 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุ 35-59 ปี (p-value = 0.01) ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา และมีระดับการศึกษาชั้นมัธยมตอนต้นมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่า 4.667 เท่า และ 3.590 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่มีระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป (p-value = 0.036 และ 0.034 ตามลำดับ) ผู้ที่มีเส้นรอบเอวไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่า 1.602 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีเส้นรอบเอวผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (p-value = 0.046) และการมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารในระดับมากลดความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คิดเป็น 0.360 เท่า ของผู้ที่มีการมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารในระดับน้อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p-value = 0.021) ปัจจัยระหว่างบุคคล พบว่า การได้รับการสนับสนุนอยู่ในระดับมากลดความเสี่ยงกับการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คิดเป็น 0.571 เท่า ของกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนอยู่ในระดับน้อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p-value = 0.032) จะเห็นได้ว่าความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนทางด้านอารมณ์จากครอบครัวและคนใกล้ชิดมีส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต่อไป</p>
2024-12-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน