วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน </strong><strong>(Science and Technology to Community</strong><strong>)</strong></p> <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มีเป้าหมายและขอบเขต (Aim and Scope) ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนได้แก่<br />1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ <br /> - ชีววิทยา - จุลชีววิทยา <br /> - ชีวเคมี - เทคโนโลยีการอาหาร <br /> - พืชศาสตร์ - สัตวศาสตร์ <br /> - ปฐพีวิทยา - โรคพืช <br /> - กีฏวิทยา - วาริชศาสตร์<br /> - การส่งเสริมการเกษตร - เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และสิ่งแวดล้อม<br />2) วิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ <br /> - เคมี - ฟิสิกส์ - ดาราศาสตร์ <br /> - วัสดุศาสตร์ - คณิตศาสตร์ - เทคโนโลยีสารสนเทศ<br /> - วิศวกรรมศาสตร์ - เทคโนโลยีอุตสาหกรรม <br /> - วิทยาศาสตร์พลังงานและสิ่งแวดล้อม <br />3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ <br /> - การสร้างเสริมสุขภาพ - การพัฒนาสุขภาพชุมชน<br /> - อนามัยสิ่งแวดล้อม - อาชีวอนามัยและความปลอดภัย <br /> - สารสนเทศทางสุขภาพ - วิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาอื่น</p> <p>ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)</p> <p><strong>รูปแบบของวารสาร<br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;">1. กำหนดออก ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 5 บทความ<br /></span> ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br /> ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน<br /> ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม<br /> ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. บทความที่ตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ บทความละ 3 ท่านต่อเรื่อง โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-blind Peer Review) <br /><br />3. นโยบายด้านค่าธรรมเนียม <strong>ไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งบทความ</strong> (เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่)<br /></span></p> <p><strong>การเตรียมต้นฉบับบทความ </strong><strong>มีรายละเอียดดังนี้<br /><br /><a title="Download Format ของวารสาร " href="https://docs.google.com/document/d/1UtDFjEvgpnTSk4y_jz83W6-hO7qDa2PV/edit?usp=sharing&amp;ouid=116414079090104673383&amp;rtpof=true&amp;sd=true">Download Format ของวารสาร </a> </strong></p> <p><strong>รูปแบบการพิมพ์</strong></p> <ol> <li><strong> ตัวอักษร</strong> : ใช้ตัวอักษร <strong>Th Sarabun PSK</strong> </li> </ol> <p><strong>ชื่อบทความภาษาไทยใช้อักษรตัวหนา ขนาด 20 </strong><strong>pt</strong> ชิดซ้าย</p> <p>ชื่อบทความภาษาอังกฤษอักษรธรรมดาขนาด ขนาด 20 pt ชิดซ้าย</p> <p><strong>ชื่อผู้เขียน (ทั้งไทยและอังกฤษ)</strong> <strong>ใช้อักษรตัวหนา ขนาด 18 </strong><strong>pt</strong> ชิดขวา</p> <p>หน่วยงานผู้เขียน (ทั้งไทยและอังกฤษ) ใช้อักษรธรรมดา ขนาด 16 pt ชิดขวา</p> <p>E-Mail และเบอร์โทร ใช้อักษรธรรมดา ขนาด 16 pt ชิดขวา</p> <p><strong>หัวข้อหลักใช้อักษรตัวหนา ขนาด 18 </strong><strong>pt</strong> </p> <p>เนื้อเรื่องใช้อักษรตัวปกติ ขนาด 16 pt </p> <ol start="2"> <li><strong> การตั้งค่าหน้ากระดาษ</strong> : บนและซ้าย ขนาด 1 นิ้ว ล่างและขวาง ขนาด 1 นิ้ว</li> <li><strong> ความยาวของเนื้อหา</strong> : ไม่เกิน 15 หน้า รวมตารางรูปภาพ และเอกสารอ้างอิง</li> <li><strong>รูปแบบการใช้ภาษาอังกฤษในเนื้อเรื่องภาษาไทย</strong> :</li> </ol> <ul> <li>ชื่อวิทยาศาสตร์ คำขึ้นต้นให้ใช้อักษรตัวใหญ่ และใช้ตัวอักษรเอียง เช่น <em>Uglena acus </em></li> <li>ชื่อเฉพาะให้ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ทุกคำ เช่น Berdmann, Lemmermann</li> <li>ภาษาอังกฤษทั้งในและนอกวงเล็บให้ใช้ตัวเล็ก เช่น Random complete block design</li> <li>ตัวย่อให้ใช้อักษรตัวใหญ่ทั้งหมด และควรมีคำเต็มบอกไว้ในการใช้ครั้งแรก เช่น (Random complete block design: RCBD)</li> </ul> <p><strong>การเรียงลำดับเนื้อหา </strong></p> <ol> <li><strong> ชื่อเรื่อง </strong><strong>(Title)</strong> : ใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษเฉพาะตัวอักษรแรกของชื่อเรื่องเท่านั้นที่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ (Capital letter) นอกนั้นใช้ตัวพิมพ์เล็ก ยกเว้นชื่อเฉพาะ</li> <li><strong> ชื่อผู้วิจัย</strong> : ระบุชื่อ สกุล ของผู้วิจัยหลักและผู้ร่วมวิจัย โดยระบุสถานที่ทำงานหรือหน่วยงานที่สังกัดและอีเมล ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และเบอร์โทรศัพท์</li> <li><strong> บทคัดย่อ (</strong><strong>Abstract)</strong> : (ภาษาไทยก่อนและตามด้วยภาษาอังกฤษ, กรณีเป็นบทความภาษาอังกฤษต้องมีบทคัดย่อภาษาไทย) เป็นการสรุปสาระสำคัญ ประเภทวิจัย วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัยที่กระชับและชัดเจน และองค์ความรู้ใหม่ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งที่จะส่งผลต่อสังคม ชุมชนท้องถิ่น ระบุตัวเลขสถิติที่สำคัญ ใช้ภาษารัดกุมเป็นประโยคสมบูรณ์และเป็นร้อยแก้ว ไม่แบ่งเป็นข้อๆ โดยบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่ควรเกิน 1 หน้ากระดาษขนาด A4 และให้ระบุคำสำคัญ (Keywords) ไว้ท้ายบทคัดย่อในแต่ละภาษา</li> <li><strong> บทนำ </strong><strong>(Introduction)</strong> : ให้เขียนอธิบายความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ วัตถุประสงค์ และประโยชน์ที่ได้รับ</li> <li><strong>ระเบียบวิธีวิจัย </strong><strong>(Methodology)</strong> : อธิบายถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองและอธิบายวิธีการศึกษาทดลอง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง วิธีดำเนินการวิจัย เครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล</li> <li><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>(Results)</strong> : การเขียนเสนอผลการศึกษาควรกระชับและแสดงการวิจัยถึงผลที่ชัดเจน หากมีตาราง กราฟ หรือรูปภาพให้มีเนื้อหาหรือวิธีการอธิบายประกอบ</li> <li><strong> การอภิปรายผล (Discussions)</strong> : การเขียนอภิปรายผลการศึกษา เป็นการชี้แจงผลการวิจัยว่าตรงตามวัตถุประสงค์ สมมติฐานของการวิจัย สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยของผู้อื่นที่มีอยู่ก่อนหรือไม่ อย่างไร ด้วยเหตุผลใด เปรียบเทียบหรือตีความเพื่อเน้นความสำคัญของงานและสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุด</li> <li><strong> บทสรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>(Conclusion and Suggestions) </strong>: ให้เขียนสรุปสาระสำคัญของผลงานวิจัยว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยเน้นถึงปัญหาหรือข้อโต้แย้งในสาระสำคัญ ตลอดจนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์</li> <li><strong> องค์ความรู้ใหม่และผลที่เกิดต่อสังคม ชุมชน ท้องถิ่น </strong><strong>(New knowledge and the effects on society local and communities) </strong>: ให้เขียนสรุปองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นและผลที่เกิดต่อสังคม ชุมชน ท้องถิ่น</li> <li><strong>กิตติกรรมประกาศหรือคำขอบคุณ</strong> <strong>(Acknowledgement)</strong> : อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ โดยเป็นการแสดงความขอบคุณผู้ช่วยเหลือในงานวิจัยแต่ไม่ได้เป็นผู้ร่วมในงานวิจัย</li> <li><strong> เอกสารอ้างอิง </strong>ควรมีไม่ต่ำกว่า 10 รายการ และควรเป็นปัจจุบันให้มากที่สุด</li> </ol> <p>การอ้างอิงแบบแทรกปนไปกับเนื้อหา : เนื้อหาบทความใช้ระบบการอ้างอิงแบบนามปี (ชื่อ-นามสกุลผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์) ตัวอย่างเช่น ....ลมุล รัตตากร (2529) ได้กำหนดคุณสมบัติของ………</p> <p> </p> <p><strong>รูปแบบการเขียนรายการอ้างอิง</strong></p> <p>การเขียนเอกสารอ้างอิงให้เรียงเอกสารที่ใช้อ้างอิงทั้งหมดตามลำดับอักษรตัวแรกของรายการที่อ้างอิง โดยเรียงลำดับแบบพจนานุกรม และให้เรียงภาษาไทยขึ้นก่อนภาษาอังกฤษ มีรูปแบบการเขียนแบบ APA 6 (American Psychological Association) ดังนี้</p> <ol> <li><strong> หนังสือ </strong></li> </ol> <p>ชื่อ สกุล. (ปีที่พิมพ์). <em>ชื่อหนังสือ.</em> (ครั้งที่พิมพ์). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.</p> <p>สีลาภรณ์ บัวสาย. (2549). <em>เศรษฐกิจพอเพียง ร่วมเรียนรู้ สานข่าย ขยายผล.</em> (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: อัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง.</p> <p>Courtney, T. K. (1965). <em>Physical Fitness and Dynamic Health</em>. New York: McGrew-Hill Inc.</p> <ol start="2"> <li><strong> วารสาร </strong>(อางอิงวารสารที่มีความทันสมัย/เปนปจจุบันมากที่สุด)</li> </ol> <p>ชื่อ สกุล. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. <em>ชื่อวารสาร</em>, <em>ปีที่</em> (ฉบับที่), เลขหน้าเริ่มต้น-เลขหน้าสิ้นสุด.</p> <p>ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2531). การปฏิรูปหลักสูตรมหาวิทยาลัยในประเทศที่กำลังพัฒนา. <em>อุดมศึกษา,</em> <em>13</em> (34), 14-20.</p> <p>Elmastas, M., O. lsildak, I. Turkekal and N. Temar. (2007). Determination of antioxidant activity and antioxidant compounds inwild edible mashroom. <em>Food Composition and analysis</em>, <em>20</em>(1), 337-345<strong>.</strong></p> <ol start="3"> <li><strong> วิทยานิพนธ์ </strong>(หากเรื่องนั้นมีบทความในวารสารให้ใช้การอ้างอิงจากวารสาร)</li> </ol> <p>ชื่อ สกุล. (ปีที่พิมพ์). <em>ชื่อวิทยานิพนธ์ / การค้นคว้าแบบอิสระ.</em><strong> (</strong>ระดับวิทยานิพนธ์ / การค้นคว้าแบบอิสระ คณะ). สถาบันการศึกษา. จังหวัด.</p> <p>ยุรีพรรณ แสนใจยา. (2545). <em>แนวทางการพัฒนาไร่ชาสุวิฬุห์ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงรายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร</em>. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เชียงใหม่.</p> <ol start="4"> <li><strong> เอกสารวิชาการอื่นๆ</strong></li> </ol> <p>ชื่อ สกุล ผู้เขียนหรือหน่วยงาน. (ปีที่พิมพ์). <em>ชื่อเรื่องหรือชื่อหนังสือ.</em> ประเภทของเอกสาร. สถาบันหรือหน่วยงานที่จัดพิมพ์. สถานที่พิมพ์.</p> <p>คณะกรรมการอำนวยการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย. (2549). <em>คู่มือคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์</em>. สำนักนายกรัฐมนตรี. กรุงเทพมหานคร.</p> <ol start="5"> <li><strong> สื่ออิเล็กทรอนิกส</strong>์ (อางอิงเฉพาะขอมูลที่ทันสมัย/เปนปจจุบัน เชน สถิติจํานวนประชากร เปนตน)</li> </ol> <p>ชื่อ สกุล. (ปีที่พิมพ์). <em>ชื่อเรื่อง.</em> สืบค้นจาก ชื่อ website </p> <p>สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2562). สำรวจภาวการณ์ทำงานของประชากร 2562. สืบค้นจาก http://www.nso.go.th/sites/2014</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>การส่งต้นฉบับ</strong></p> <p>จัดส่งต้นฉบับที่พิมพ์ตามข้อกำหนดของรูปแบบวารสาร</p> <p>ที่เว็บไซต์ https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/index</p> <p> </p> <p><strong>การประเมินบทความต้นฉบับ</strong> </p> <p>ต้นฉบับจะต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสังกัดของเข้าของบทความ และจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 ท่านต่อเรื่อง โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-blind peer review) สถาบันวิจัยและพัฒนาจะเป็นผู้สรรหา เพื่อรับการประเมิน กรณีมีการแก้ไขสถาบันวิจัยและพัฒนาจะส่งผลการอ่านประเมินคืนผู้เขียนให้เพิ่มเติม แก้ไข หรือพิมพ์ต้นฉบับใหม่แล้วแต่กรณี</p> <p> </p> <p><strong>หมายเหตุ</strong></p> <ol> <li>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่</li> <li>เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาด อันเกิดจากเทคนิคการพิมพ์</li> <li><strong>การส่งบทความไม่มีค่าใช้จ่าย</strong></li> </ol> สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (Institute of Research and Development, Chiang Mai Rajabhat University) th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน 2822-132X <p>1. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ <br />2. เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> แอปพลิเคชันสื่อการสอนอักษรเบรลล์ภาษาอังกฤษและภาษาไทย https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/761 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันสื่อการสอนอักษรเบรลล์ภาษาอังกฤษและ ภาษาไทย และ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้งานแอปพลิเคชันสื่อการสอนอักษรเบรลล์ภาษาอังกฤษและภาษาไทยภาษาไทย สำหรับนักศึกษาสาขาการศึกษาพิเศษชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จำนวน 30 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แอปพลิเคชันสื่อการสอนภาษาเบรลล์ภาษาอังกฤษและภาษาไทย 2) แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชันสื่อการสอนอักษรเบรลล์ภาษาอังกฤษและภาษาไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัยสรุปดังนี้ 1) การพัฒนาแอปพลิเคชันมี 2 ภาษาให้ผู้ใช้เลือกศึกษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ซึ่งแต่ละภาษาที่ผู้ใช้เลือกศึกษาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ ส่วนของบทเรียน และส่วนของแบบฝึกหัด 2) ผลการประเมินความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชันสื่อการสอนอักษรเบรลล์ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้วยค่าเฉลี่ย 4.19 พบว่า ด้านความพึงพอใจในแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมาก ด้วยค่าเฉลี่ย 4.26 รองลงมาได้แก่ ด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ด้วยค่าเฉลี่ย 4.20 และด้านเนื้อหา ด้วยค่าเฉลี่ย 4.10 ตามลำดับ</p> เกศสินี แซ่ม้า วชิราภรณ์ คำมีจันทร์ นมัสสร พวงมณี ศิริกรณ์ กันขัติ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-26 2024-06-26 2 4 1 16 10.57260/stc.2024.761 การพัฒนาเกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/785 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาเกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา ชั้นปีที่ 3 จำนวน 20 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ เกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานเกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง วิเคราะห์ผลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า ในการพัฒนาเกมด้านกราฟิก ผู้วิจัยได้ออกแบบให้มีความกึ่งเสมือนจริงใช้องค์ประกอบที่มีความสมจริง เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ เป็นต้น ผสมกับความเป็นเกมโดยใช้โมเดลที่มีอยู่แล้วภายในโปรแกรม โรบล็อกซ์สตูดิโอที่มีผู้พัฒนาอื่น ๆ สร้างไว้ ส่วนของอนิเมชั่นใช้โปรแกรมเบลนเดอร์ (Blender) ในการสร้าง อนิเมชั่นการขยับของช้าง เช่น การเดิน การแสดงโชว์ของช้าง เป็นต้น พัฒนาเกมด้วยโปรแกรมโรบล็อกสตูดิโอใช้ภาษาเลือ (LUA) เป็นหลักในการพัฒนาระบบภายในเกม การเล่นเกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง เป็นเกมที่มีการโหลดข้อมูลที่ใช้ในการแสดงผลเป็นจำนวนมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อการประมวลผลของภาพและเสียงที่สมบูรณ์ ผลการประเมินความพึงพอใจต่อเกมสถานการณ์จำลองท่องเที่ยววิถีช้าง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> อนุรักษ์ พาสวรรค์ ไพรสันต์ สุวรรณศรี พิมพ์ชนก สุวรรณศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-26 2024-06-26 2 4 17 29 10.57260/stc.2024.785 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน โรงพยาบาลวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/831 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน โรงพยาบาลวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้านทั้งหมดในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลวานรนิวาส จำนวน 51 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test<br />ผลการศึกษา พบว่า ความต้องการช่องทางการติดต่อสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างรวดเร็วและในการเดินทางมาขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่ได้ทุกครั้งตามที่ต้องการเป็นปัญหาในการดูแลผู้ป่วยตามหลักเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน โดยการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังทดลองใช้กิจกรรมแตกต่างกันทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p – value ≤0.001)<br />สรุปได้ว่ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองที่บ้านโรงพยาบาลวานรนิวาส ที่ดำเนินการเป็นระเวลา 3 เดือน ผู้ดูแลผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเห็นได้ชัดเจน</p> ณิชาดา วิทยาภูมิ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-26 2024-06-26 2 4 30 44 10.57260/stc.2024.831 ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมติดตามทางโมบายแอปพลิเคชันตามแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวานรนิวาส https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/838 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ) ชนิดสองกลุ่ม Difference between two independent means วัดก่อนหลัง เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมติดตามทาง โมบายแอปพลิเคชันตามแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวานรนิวาส ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง มีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 28 คน ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลตามโปรแกรมติดตามทางโมบายแอปพลิเคชันตามแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวานรนิวาส ทุกระยะ การวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการศึกษา พบว่า การเปรียบเทียบความแตกต่างของการประเมินผลลัพธ์ตามแบบประเมินผลลัพธ์ในการติดตามผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม กลุ่มทดลองมาพบแพทย์ตามนัด มีค่าเฉลี่ย 0.95 ครั้ง ซึ่งมากกว่ากลุ่มควบคุมที่มาพบแพทย์มีค่าเฉลี่ยเพียง 0.44 ครั้ง ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตสูง 7 วัน กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ย 114/76 mmHg ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าความดันโลหิตเฉลี่ย 138/92 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการทดลองอยู่ในระดับดีขึ้น (p-value ‹ 0.01)<br /></span>กลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเข้ารับบริการในโรงพยาบาล ร้อยละ 100 มีแนวปฎิบัติตามโปรแกรมติดตามทางโมบายแอปพลิเคชันตามแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวานรนิวาส</p> จรรยา โยตะศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-26 2024-06-26 2 4 45 59 10.57260/stc.2024.838 ผลของโปรแกรมการจัดการโรคไตเรื้อรังโดยใช้รูปแบบการดูแลโรคเรื้อรังผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และระยะที่ 4 ในโรงพยาบาลวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/835 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) นี้ เป็นการศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และระยะที่ 4 โดยใช้รูปแบบการดูแลโรคเรื้อรังโรงพยาบาลวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการศึกษา คือผู้ป่วยเพศหญิงที่มารับการนอนโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงตึกอินทนิล โรงพยาบาลวานรนิวาส จำนวน 20 ราย เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ปลายเปิด วิเคราะห์โดยใช้สถิติ Paired t-test<br />ผลการศึกษาพบว่าการทดสอบความรู้ก่อนและหลังการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ด้านอาหาร ด้านการใช้ยา การควบคุมระดับความดันและน้ำตาล การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด การจัดการความเครียด ทั้งหมดมีระดับคะแนนเพิ่มขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมก่อนและหลังการทดลองโดยการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกค่าเฉลี่ย BUN (Blood urea nitrogen) ก่อนการใช้โปรแกรม 24.61 mg/dl ค่าเฉลี่ย BUN 18.23 mg/dl ค่าเฉลี่ย Creatinine 2.24 หลังการใช้โปรแกรม ค่า BUN มีค่าเท่ากับ 1.39 eGFR มีค่าเท่ากับ 22.36 มล./นาที มีค่าเท่ากับ 44.45 มล./นาที<br />การที่ผู้ป่วยได้รับความรู้และการดูแลอย่างใกล้สามารถส่งผลใหผู้ป่วยชะลอความเสื่อมของไตได้ ซึ่งรูปแบบการดูแลโรคเรื้อรังผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และระยะที่ 4 ในโรงพยาบาลวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร สามารถนำไปเป็นข้อมูลสนับสนุนหรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง</p> ราวดี โคตรพรหม Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-26 2024-06-26 2 4 60 73 10.57260/stc.2024.835