วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่เป็นปีที่ 3 <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 8 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p>
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (Institute of Research and Development, Chiang Mai Rajabhat University)
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
2822-132X
<p>1. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ <br />2. เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p>
-
การศึกษาลักษณะทางกายภาพ-เคมี และจุลินทรีย์จากน้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1068
<p>การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาน้ำหมักจากมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก เพื่อนำใปใช้ประโยชน์เป็นอาหารเสริมทางด้านปศุสัตว์ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design: CRD) แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มการทดลองๆ ละ 2 ซ้ำ ได้แก่ น้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก วันที่ 0 วัน (กลุ่มการทดลองที่ 1) น้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก วันที่ 7 วัน (กลุ่มการทดลองที่ 2) น้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก วันที่ 14 วัน (กลุ่มการทดลองที่ 3) น้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก วันที่ 21 วัน (กลุ่มการทดลองที่ 4) และ น้ำหมักมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก วันที่ 28 วัน (กลุ่มการทดลองที่ 5) พบว่า ปริมาณกรดแลคติค, ความเป็นกรด-ด่าง, ปริมาณเบต้า-แคโรทีน และค่าสีของแต่ละกลุ่มการทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยน้ำหมักจากมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุกที่ระยะเวลาการหมักที่ 7-28 วัน มีปริมาณกรดแลคติก จุลินทรีย์ทั้งหมด และแลคติกแอซิดแบคทีเรียเพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณเบต้า-แคโรทีน และ <em>Bacillus spp.</em> มีปริมาณสูงที่สุดในวันที่ 7 และลดปริมาณลงตามอายุการหมัก</p>
ปฐมา แทนนาค
ภาวิณี จำปาคำ
ใยไหม ช่วยหนู
ธรรมธวัช แสงงาม
วันวิสาข์ วัฒนะพันธ์ศักดิ์
ศศิธร นาคทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
3 4
1
15
10.57260/stc.2025.1068
-
สภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น และองค์ประกอบสำหรับการพัฒนาระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อการเลี้ยงปลานิลแบบแม่นยำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1101
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นสำหรับการพัฒนาระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อการเลี้ยงปลานิลแบบแม่นยำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 2) เพื่อประเมินองค์ประกอบที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อการเลี้ยงปลานิลแบบแม่นยำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงปลานิลในพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 5 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะและเกษตรแบบแม่นยำ จำนวน 5 คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อการเลี้ยงปลานิลแบบแม่นยำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล และแบบประเมินองค์ประกอบที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบการเกษตรอัจฉริยะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงปลานิลในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 50-59 ปี มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลา 15 ปีขึ้นไป สั่งซื้อลูกพันธุ์ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา 4 จากฟาร์มเอกชน เลี้ยงปลา ในบ่อดินขนาด 1-3 ไร่ ลึก 2 เมตร จำนวน 1-2 บ่อ เลี้ยงปลานิลเพื่อจำหน่ายให้กับพ่อค้าคนกลาง ปีละ 2 ครั้ง และความต้องการจำเป็นของกลุ่มเกษตรกรผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงปลานิล ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล คือ ด้านการเก็บข้อมูล (PNI modified = 0.454) ด้านโรคและการป้องกัน (PNI <sub>modified</sub> = 0.414) และด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการเลี้ยงปลา (PNI <sub>modified</sub> = 0.380) เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลยังไม่ครอบคลุมสำหรับการวางแผนและติดตามผล โดยเฉพาะข้อมูลคุณภาพน้ำที่ส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต 2) ผลการประเมินองค์ประกอบที่เหมาะสมของระบบการเกษตรอัจฉริยะจากผู้เชี่ยวชาญ ตามแนวคิดของกัสกีย์ พบว่า องค์ประกอบที่เหมาะสมในทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านความเป็นประโยชน์ 4.80±0.29 ด้านความสอดคล้อง 4.80±0.27 ด้านความเป็นไปได้ 4.73±0.37 และด้านความเหมาะสม 4.67±0.48 สรุปได้ว่าองค์ประกอบที่ประเมินมีความเหมาะสมสำหรับ การพัฒนาระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อการเลี้ยงปลานิลแบบแม่นยำในพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้มีประสิทธิภาพต่อไป</p>
พรศิลป์ บัวงาม
ประกอบ ใจมั่น
สุริยะ จันทร์แก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
3 4
16
32
10.57260/stc.2025.1101
-
ผลของการพัฒนารูปแบบการให้ความรู้โดยใช้หลัก KAP model แก่ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1116
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชของคนผู้ดูแลในครอบครัว และศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการให้ความรู้โดยใช้หลัก KAP model แก่ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ภายใต้แนวคิดกระบวนการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง PDCA กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช จำนวน 15 คน คัดเลือกโดยใช้วิธี การเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) และผู้พัฒนาระบบ 6 คน ในพื้นที่โรงพยาบาลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired t-test<br />ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของผู้ดูแลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดย ระดับความรู้เพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางไปสู่ระดับสูง ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 11.53 เป็น 17.80 (t = -22.07, p < 0.001) ระดับทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวก ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2.85 เป็น 4.37 (t = -59.18, p < 0.001) ระดับการปฏิบัติในการดูแลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.00 เป็น 4.59 (t = -67.13, p < 0.001) ผู้ดูแลมีความมั่นใจมากขึ้นในการดูแลผู้ป่วยสามารถให้กำลังใจ ช่วยเหลือทางสังคม และติดตามอาการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ทัศนคติที่เป็นอคติต่อผู้ป่วยลดลง ผู้ดูแลมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นและสามารถส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของผู้ป่วยในชุมชนได้ดีขึ้น การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า KAP Model เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช โดยช่วยเพิ่มความรู้ ลดอคติ และปรับปรุงการปฏิบัติการดูแลในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรมีการติดตามผลในระยะยาว เพื่อประเมินว่าผลลัพธ์ที่ได้สามารถคงอยู่ได้หรือไม่ รวมถึงการ พัฒนาแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมหรือเครือข่ายชุมชน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวชมีความยั่งยืนมากขึ้น</p>
วลัยภรณ์ อุวะไร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
3 4
33
46
10.57260/stc.2025.1116
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงเบาหวานของหน่วยบริการปฐมภูมิภายใต้การขับเคลื่อนของระบบสุขภาพอำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1137
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and development: R&D) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงเบาหวานของหน่วยบริการปฐมภูมิ ภายใต้การขับเคลื่อนของระบบสุขภาพอำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม โดยใช้แนวคิดกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม AIC (Appreciation – Influence – Control) เป็นกรอบในการดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข และประชาชนกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งสิ้น 38 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์อุปนัย (Analytic induction) และสถิติเชิงพรรณนา<br />ผลการศึกษา พบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.16 และเพศชายร้อยละ 36.84 ช่วงอายุของผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่าง 25–64 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 45.66 ปี และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 11.34 ปี ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่สอดคล้องกับบริบทชุมชน โดยเสนอให้มีการส่งเสริมกิจกรรม เช่น การออกกำลังกาย การใช้สื่อความรู้ การสนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการวางแผนและติดตามผล รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การรับรู้คุณค่า (Appreciation) เพื่อสร้างความตระหนักและระดมทุนทางสังคม 2) การมีอิทธิพลร่วมกัน (Influence) เพื่อวางแผนและออกแบบกิจกรรมอย่างมีส่วนร่วม และ 3) การควบคุมร่วมกัน (Control) เพื่อดำเนินกิจกรรมและประเมินผลร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้น และเกิดกลไกการขับเคลื่อนสุขภาพในระดับชุมชนอย่างยั่งยืน การพัฒนารูปแบบดังกล่าวช่วยส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเกิดพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น และก่อให้เกิดกลไกขับเคลื่อนสุขภาพในระดับชุมชนที่ยั่งยืน ควรมีการสนับสนุนกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่ายในทุกระดับ เพื่อให้เกิดระบบสุขภาพปฐมภูมิที่มีประสิทธิภาพ</p>
บุญศิริ จันทนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
3 4
47
61
10.57260/stc.2025.1137
-
ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์อาข่า ในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1149
<p>ความรู้ ทัศนคติ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5</sub><sub> </sub>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุเพื่อศึกษา ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันตัวเอง และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>ของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์อาข่า ในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย วิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง ศึกษาเขตพื้นที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ทำการศึกษาในช่วง กุมภาพันธ์ 2567 ถึง พฤษภาคม 2567 ในกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์อาข่า กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 360 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์หาปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>โดยใช้สถิติ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน Pearson Product moment correlation ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 53.30 ทัศนคติเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 50.60 พฤติกรรมการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>ในระดับปานกลาง ร้อยละ 44.40 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>พบว่า ความรู้เรื่องเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.151, p < 0.004) และทัศนคติการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กPM<sub>2.5 </sub>ความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.400, p < 0.001) ผลการวิจัยครั้งนี้ ความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>และทัศนคติเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM<sub>2.5 </sub>ดังนั้นควรส่งเสริมให้ความรู้และทัศนคติในการป้องกันตัวเองที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์อาข่า เพื่อให้เกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่และเกิดผลในระยะยาวต่อไป</p>
อารีย์ จอแย
พัทธนิษย์ คำธาร
จุฑามาศ เมืองมูล
บุษบา สอิ้งแก้ว
มณีรัตน์ สวนม่วง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-04
2025-09-04
3 4
62
77
10.57260/stc.2025.1149
-
การพัฒนาเกมโรบล็อกซ์เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์: กรณีศึกษาบางระจัน ป้อมปราการสุดท้าย
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1062
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินเกมโรบล็อกซ์ 'บางระจัน ป้อมปราการสุดท้าย' ซึ่งเป็นนวัตกรรมเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยเน้นการประเมินความพึงพอใจและความง่ายในการใช้งานของเกมดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คน จากโรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยเกมโรบล็อกซ์ที่พัฒนาขึ้น และแบบสอบถามความพึงพอใจและความง่ายในการใช้งาน ผลการพัฒนาพบว่า เกมโรบล็อกซ์ 'บางระจัน ป้อมปราการสุดท้าย' ได้รับการสร้างสรรค์ให้มีกราฟิกที่สมจริง ทั้งด้านการต่อสู้และวิถีชีวิตของชาวบ้านบางระจัน ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ อาทิ การจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ตัวละคร และภารกิจการเรียนรู้ภายในเกม โดยการพัฒนาโมเดลต่างๆ ดำเนินการด้วยโปรแกรมเบลนเดอร์ (Blender) และการสร้างสถานที่พร้อมระบบภายในเกมใช้โปรแกรม โรบล็อกซ์สตูดิโอ (Roblox studio) ร่วมกับการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาลูอา (Lua) ผลจากการพัฒนานี้แสดงให้เห็นว่าเกมมีศักยภาพในการเป็นสื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้อย่างดีเยี่ยม และผลการประเมินความพึงพอใจและความง่ายในการใช้งานโดยรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.55, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.59) ซึ่งบ่งชี้ว่าเกมนี้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในการใช้เป็นเครื่องมือเสริมการศึกษาประวัติศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
อภิวิชญ์ มั่นคง
ธีรสิทธิ ตาแก้ว
พิมพ์ชนก สุวรรณศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-04
2025-09-04
3 4
78
93
10.57260/stc.2025.1062
-
การพัฒนาเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1049
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ระบบแนะนำการท่องเที่ยวที่สามารถแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวตามภูมิภาค ฤดูกาล ประเภทสถานที่ เทศกาล เหมาะสมกับผู้ใช้ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบดังกล่าวกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา 10 คน และบุคคลทั่วไปที่สนใจวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 20 คน ที่เลือกสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเครื่องมือวิจัยประกอบด้วย เว็บไซต์แนะนำการท่องเที่ยว และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ ระบบพัฒนาภายใต้แนวคิด SDLC ครอบคลุมการออกแบบฐานข้อมูลด้วย MySQL การพัฒนาเว็บไซต์ด้วยHTML,CSS, JavaScript และ PHP ผ่านโปรแกรม Visual studio code และ XAMPP สำหรับการทดสอบระบบผลการวิจัยพบว่า ระบบสามารถให้คำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ทั้งในด้านฤดูกาล ประเภทสถานที่ เทศกาล ที่พัก และแผนการเดินทาง โดยผู้ใช้มีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.41 ข้อจำกัดของการพัฒนาในครั้งนี้ ได้แก่ ความเรียบง่ายของการออกแบบเว็บไซต์ และจำนวนข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่ครอบคลุมในบางภูมิภาค ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในอนาคต คือ การเพิ่มระบบแนะนำแผนการเดินทางอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี Machine learning และการรองรับผู้ใช้งานต่างชาติผ่านระบบแปลภาษา</p>
ธนเดช บุษบา
พิมพ์ชนก สุวรรณศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-04
2025-09-04
3 4
94
108
10.57260/stc.2025.1049
-
นวัตกรรมเครื่องอบแห้งเมล็ดกาแฟด้วยลมร้อน สำหรับชุมชนเกษตรต้นน้ำ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/850
<p>การวิจัยเรื่องนวัตกรรมเครื่องอบแห้งเมล็ดกาแฟด้วยลมร้อน สำหรับชุมชนเกษตรต้นน้ำ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของกาแฟและรูปแบบการอบแห้งเมล็ดกาแฟด้วยลมร้อน การออกแบบและสร้างต้นแบบนวัตกรรมเครื่องอบแห้งเมล็ดกาแฟด้วยลมร้อน เพื่อสนองต่อกระบวนการอบแห้งไล่ความชื้นในเมล็ดกาแฟให้ได้คุณภาพและมาตรฐานตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เครื่องอบลมร้อนจากพลังงานไฟฟ้าและพลังงานแก๊สหุงต้ม ภายในเตาอบมีระบบพัดลมเพื่อหมุนเวียนความร้อน และมีระบบวัดและควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบดิจิทัล ผลการทดลองใช้เครื่อง พบว่า มีประสิทธิภาพในการอบแห้งและสามารถควบคุมความชื้นในเมล็ดกาแฟได้ ร้อยละ 11 ผลการประเมินประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ พบว่า คะแนนรวมค่าเฉลี่ย อยู่ที่ระดับคะแนน 3.89 โดยด้านประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบายในการใช้งาน เครื่องอบแห้งเมล็ดกาแฟ ได้รับการประเมินในระดับดีมาก ส่วนด้านการใช้งานระบบแก๊ส ระดับปานกลาง การประกอบชิ้นส่วนและความสวยงาม ความเรียบร้อย และความปลอดภัยของเครื่องอบแห้งมีประสิทธิภาพสูง ส่วนการใช้วัสดุในการผลิตในแต่ละส่วนได้รับการประเมินระดับปานกลาง ในด้านความสวยงาม เครื่องอบแห้งได้รับคะแนนดีมากในหัวข้อรูปทรงที่ได้สัดส่วนและความประณีตของชิ้นงาน โดยสรุปเครื่องอบแห้งเมล็ดกาแฟด้วยลมร้อนมีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้งานได้สะดวก และมีความปลอดภัย</p>
มนัสพันธ์ รินแสงปิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-05
2025-09-05
3 4
109
127
10.57260/stc.2025.850