วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน (Science and Technology to Community) มีเป้าหมายและขอบเขต ที่รับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ด้าน 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เกษตรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 2) วิทยาศาสตร์กายภาพ 3) วิทยาศาสตร์สุขภาพ ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วารสารเผยแพร่เป็นปีที่ 3 <br />Journal Abbreviation: Sci Tech Com<br />ISSN 2822-132X (Print)<br />ISSN 2822-1338 (Online)<br />วารสารเริ่มต้น : ปี 2566<br />ภาษา : ไทย และ อังกฤษ<br />กำหนดออก : ปีละ 6 ฉบับ ฉบับละ 8 บทความ (ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน– ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม)</p> th-TH <p>1. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ <br />2. เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> research_journal@g.cmru.ac.th (Asst. Prof. Dr. ‪Rungnapa Tagun‬ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งนภา ทากัน)) khonta_1@hotmail.com (Dr.Khontaros Chaiyasut (ดร.ฆนธรส ไชยสุต กองบรรณาธิการวารสาร)) Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลการพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1002 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research ) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย กลุ่มเป้าหมายคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 68 คน วิเคราะห์โดยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test<br />ผลการศึกษาพบว่า การได้รับความรู้เกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยได้รับความรู้ เกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย จำนวน 68 คน (ร้อยละ 100) การประเมินพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยประเมิน จำนวน 66 คน (ร้อยละ 97.05) เคยประเมิน จำนวน 2 คน (ร้อยละ 2.95) การเคยใช้คู่มือ DSPM (Developmental surveillance and promotion manual) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยใช้คู่มือเลย จำนวน 68 คน (ร้อยละ 100) มีระดับค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) แนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคายจำแนกเป็น 5 ส่วน สร้างความรู้ความเข้าใจ การกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ การเข้าถึงติดตาม การให้คำปรึกษา ระยะเวลาในการคัดกรองพัฒนาการ การพัฒนาแนวทางการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลหนองคาย ช่วยทำให้เกิดความรู้และการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่เพิ่มขึ้น</p> รสสุคนธ์ แก้วโกมินทวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1002 Mon, 26 May 2025 00:00:00 +0700 การพยากรณ์การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุของประเทศไทย https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1140 <p>ประเทศไทยจัดอยู่ในระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ สถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไประหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง 2566 โดยเฉลี่ยต่อปี มีอัตราต่อแสนคนของผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยนอก 1,547 ราย ผู้ป่วยใน 595 ราย และเสียชีวิต 12 ราย ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ยังไม่มีรายงานสถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. 2567 แต่อย่างใด การวิจัยเชิงพยากรณ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์สถิติการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปปี พ.ศ. 2567 และ พ.ศ. 2568 โดยรวบรวมข้อมูลจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พยากรณ์โดยใช้ทฤษฎีระบบเกรย์ เนื่องจากมีข้อมูลรายปีจำกัดเพียง 7 ปีเท่านั้น ผลการพยากรณ์ พบว่า การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยนอกที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุกลับมีค่าความแม่นยำเพียงมีเหตุผลพอที่จะใช้พยากรณ์ได้เท่านั้น (MAPE 17.52-26.90) ทำให้พยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในสูงจากปี พ.ศ. 2566 และ 2567 มาก เมื่อพิจารณารูปแบบการเปลี่ยนแปลงปีต่อปีของจำนวนผู้ป่วยนอกที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ พบว่า มีความผันผวนสูงมาก การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในที่มาจากการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ และการพยากรณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้ม พบว่า มีค่าความแม่นยำ MAPE อยู่ในเกณฑ์ใช้พยากรณ์ได้ดีและแม่นยำสูงตามลำดับ (MAPE 9.26-15.45 และ 4.15-4.60 ตามลำดับ) ค่าพยากรณ์ที่ได้นี้สามารถใช้ในการจัดทำนโยบาย วางแผนป้องกัน และจัดสรรทรัพยากรในการบริหารงานสาธารณสุขต่อไป</p> สุชาณันท์ ธัญญกุลสัจจา , ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1140 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนกับกลุ่มโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1081 <p>การวิจัยเชิงความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM<sub>2.5 </sub>กับกลุ่มโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูลรายเดือนในท้องที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 46 เดือน ค่าเฉลี่ยรายเดือนฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM<sub>2.5</sub>) รวบรวมรวมจากกรมควบคุมมลพิษ และจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศรวบรวมจากรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และคำนวณความเสี่ยงสัมพัทธ์ด้วยตัวแบบการถดถอยควอไซ-ปัวซงและตัวแบบการถดถอยทวินามลบ ผลการศึกษาพบว่า เมื่อค่า PM<sub>2.5 </sub>สถานีเชียงใหม่ - โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย (36T) เพิ่มขึ้น 10 มคก./ลบ.ม. จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากค่าเฉลี่ย สำหรับตัวแบบการถดถอยทวินามลบโรคปอดอุดกั้นเรื้องรังค่า PM<sub>2.5 </sub>สถานี 36T เพิ่มขึ้น 10 มคก./ลบ.ม. จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากค่าเฉลี่ย กล่าวได้ว่า สามารถคำนวณความเสี่ยงจำนวนผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้นตามความเปลี่ยนแปลงของค่า PM<sub>2.5 </sub>ในพื้นที่ได้ เพื่อการวางแผนงานสาธารณสุขที่เหมาะสมต่อไป</p> ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ, วัฒนา ชยธวัช Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1081 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเทคนิคการจัดกลุ่มโดย Machine Learning ในหุ้น SET100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1042 <p>การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหนึ่งในช่องทางในการลงทุน ที่นำมาซึ่งผลตอบแทนมหาศาลแต่ผลตอบแทนดังกล่าวก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นภารกิจหลักของนักลงทุนที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยง บทความนี้นำเสนอวิธีการจัดกลุ่ม โดย Machine Learning ในหุ้น SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเทคนิคแบบ Unsupervised Learning ประกอบด้วยเทคนิค K-means, Hierarchical, DBSCAN และ Fuzzy C-means โดยเทคนิคเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงคล้ายกันได้ ในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังหุ้น SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหุ้นสามัญ 100 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงและการซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอถือว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป ในการจัดกลุ่มได้นำเอา อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) และ ค่าความเสี่ยงของหุ้น (BETA) ระยะเวลา 3 ปี 274 ตัว ผลการจัดกลุ่มทั้ง 4 วิธี พบว่า K-means สามารถจัดออกมาได้ 3 กลุ่มได้แก่กลุ่มที่ หุ้นปลอดภัยแต่ให้ปันผลต่ำ 192 ตัว หุ้นปันผลสูง ความเสี่ยงต่ำ 4 ตัว และ หุ้นเติบโตและมีความเสี่ยงสูง 78 ตัวส่วนเทคนิค Hierarchical สามารถจัดกลุ่มได้ 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ หุ้นปลอดภัยแต่ให้ปันผลต่ำ 163 ตัว หุ้นปันผลสูง ความเสี่ยงต่ำ 4 ตัว และ หุ้นเติบโตและมีความเสี่ยงสูง 107 ตัวส่วนเทคนิค DBSCAN แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่กลุ่มหลัก 266 ตัว นอกกลุ่ม 8 ตัวส่วนเทคนิค Fuzzy C-means แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่หุ้นปันผลสูงและความเสี่ยงต่ำ 89 ตัว หุ้นที่มีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน 138 ตัว และหุ้นที่มีความผันผวนสูง 47 ตัว</p> พัชร นพคุณมงคลชัย, ปรารถนา มินเสน, ปิยะชาติ เวียงนาค Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1042 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ : กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1031 <p>เพื่อนรัก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก โดยใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) ของลูกค้าที่มาใช้ระบบ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรักและแบบสอบถามความพึงพอใจในประสิทธิภาพของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: กรณีศึกษาร้านฟาร์มเกษตรเพื่อนรัก ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ผู้ดูแลระบบ (เจ้ากิจการ) สามารถจัดการข้อมูลสินค้า จัดการข้อมูลคำสั่งซื้อประจำวัน/เดือน/ปี จัดการข้อมูลสมาชิก จัดการข้อมูลการจัดส่งประจำวัน/เดือน/ปี และสามารถดูรายงานในส่วนของผู้ดูแลระบบได้ และสมาชิกสามารถจัดการการสั่งซื้อ แจ้งการชำระเงินรวมถึงดูรายงานประวัติการสั่งซื้อได้ 2) ผลการประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจจากลูกค้า พบว่า ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.78 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.38 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ด้านการออกแบบและจัดการรูปแบบเว็บไซต์ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.34 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด และด้านการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.85 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.34 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</p> กันย์ลภัส ลืมสายธาร, ศิริพงศ์ ศิริสวัสดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1031 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1051 <p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนาเกมจำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ด้วยโรบล็อกซ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกมที่ให้ความรู้เรื่องการประกอบคอมพิวเตอร์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างของผู้ทดลองเล่นเกมคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จำนวน 30 คน ในกระบวนการพัฒนาได้ใช้ เกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือหลักพร้อมทั้งใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ รวบรวมความคิดเห็นของผู้เล่น วิเคราะห์ผลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เกมสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยเพิ่มความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับการประกอบคอมพิวเตอร์ และส่งเสริมทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบเกมพัฒนาด้วยแนวคิดกึ่งเสมือนจริงโดยเน้นการผสมผสานองค์ประกอบที่สมจริง เพื่อสร้างบรรยากาศที่คล้ายสถานการณ์จริง โดยใช้โมเดลที่มีอยู่ในโปรแกรมโรบล็อกซ์สตูดิโอ (Roblox studio) นอกจากนี้ โมเดลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น เมนบอร์ด หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) การ์ดจอ (GPU) หน่วยความจำ (RAM) และอื่น ๆ ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นใหม่ด้วยโปรแกรมเบลนเดอร์ (Blender) เพื่อเพิ่มความสมจริงและความน่าสนใจให้กับ เกมการพัฒนาเกมใช้โปรแกรมโรบล็อกซ์สตูดิโอ (Roblox studio) ด้วยภาษาลูอา (LUA) เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาระบบภายในเกม เนื่องจากเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์นี้จำเป็นต้องโหลดข้อมูลกราฟิกที่มีขนาดใหญ่และรายละเอียดสูง เพื่อการแสดงผลภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่ดีจะช่วยให้เกมสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล ลดปัญหาการกระตุก และเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้เล่น ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เล่นที่มีต่อเกมโรบล็อกซ์จำลองการประกอบคอมพิวเตอร์ ผู้เล่นมีระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.60 โดยผู้เล่นมีความคิดเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับการออกแบบที่น่าสนใจ ลำดับขั้นตอนการเล่นที่ชัดเจน และประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับจากเกม ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี</p> ภราดร กองดี, พิมพ์ชนก สุวรรณศรี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1051 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700 บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องระบบสุริยะจักรวาล https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1048 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องระบบสุริยะจักรวาล 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องระบบสุริยะจักรวาล 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้งานบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องระบบสุริยะจักรวาล กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่ ได้มาแบบเจาะจง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องระบบสุริยะจักรวาล 2) แบบทดสอบก่อนเรียน 3) แบบทดสอบหลังเรียน 4) แบบทดสอบประจำบทเรียน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของบุคคลทั่วไปที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล มีการแบ่งเนื้อหาบทเรียนออกเป็น 4 บท ได้แก่ เอกภพและระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ พัฒนาการของแบบจำลองระบบสุริยะ และ ปรากฏการณ์ต่างๆ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน เมื่อนำคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยการทดสอบ t-test พบว่าผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนที่เรียนบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ผลการประเมินความพึงพอใจในการใช้งานบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีความพึงพอใจต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล โดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ซึ่งอยู่ในระดับพึงพอใจมาก</p> ภัณฑิรา กาซ้อง, อรรถกานต์ ใจเฉลียว , พิมพ์ชนก สุวรรณศรี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1048 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700 Strategic Development and Sustainability of Swamp Buffalo A Systematic Review https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1039 <p>Swamp buffalo (<em>Bubalus bubalis</em>) assume a pivotal function in the agricultural and economic frameworks of Southeast Asia, acting as a vital source of labor and high-protein sustenance. Nevertheless, the sustainability of swamp buffalo husbandry encounters various challenges, including alterations in land use, shortages of labor, and the impacts of climate change. This systematic literature review, conducted in accordance with PRISMA guidelines, investigates strategic development and sustainability within swamp buffalo production through a comprehensive analysis of two decades of research (2003–2023) derived from peer-reviewed academic journals. The principal findings underscore prevailing trends in production, identifying both challenges and opportunities, Innovations focused on increasing efficiency, genetic conservation efforts and policy support are needed because the conservation of indigenous breeds and their characteristics (e.g. local water buffalo breeds that are well adapted to flooded environments) help keep buffalo populations highly genetically diverse. When faced with epidemics, a “gene pool” is needed to help improve breeds to survive in critical situations. The results indicate the potential for increased productivity through the implementation of improved herd management techniques, the utilization of innovative feed resources, and strategies aimed at mitigating methane emissions. Furthermore, the production of value-added products, such as cheese and yogurt, presents novel market opportunities. International cooperation, particularly involving stakeholders from Thailand, Australia and the Philippines on academic issues, is essential to promote sustainable practices. The study culminates in recommendations aimed at enhancing policy frameworks, adapting to climate change, and building farmer capacity to ensure the long-term sustainability and competitive viability of swamp buffalo farming.</p> Danai Siriburee, Navarat Boonpila, Rachata Suansawat, Totsapon Srisak Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li02.tci-thaijo.org/index.php/STC/article/view/1039 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700