https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/issue/feed
วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร
2025-07-15T09:25:35+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.สรพงค์ เบญจศรี (บรรณาธิการวารสาร)
sorapong@tsu.ac.th
Open Journal Systems
<p>ISSN 2822-1303 (Online)</p> <p>วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (Journal of Technology and Agricultural Innovation)เป็นวารสารผลงานวิจัย และผลงานวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์เกษตรและชีวภาพ (Agricultural and Biological Sciences) ของบุคลากร นักวิจัย นิสิต นักศึกษาภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยทักษิณ<br /><br /></p>
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/article/view/969
การจัดการผลิตพืชเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนนวัตกรรมวิชาการเกษตรจังหวัดสตูล
2025-03-05T08:44:30+07:00
ฤทธิรงค์ ศรีสุข
jom_8107@hotmail.com
<p>โครงการ “การจัดการผลิตพืชเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนนวัตกรรมวิชาการเกษตรจังหวัดสตูล”ดำเนินการทดลองที่ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล ได้ทำการศึกษา การทดลองที่ 1 พัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตพืชเศรษฐกิจชุมชนเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และการเข้าถึงอาหารจังหวัดสตูล ได้แก่ จำปาดะประกอบด้วย 2 กรรมวิธี คือ กรรมวิธีทดสอบของกรมวิชาการเกษตร และกรรมวิธีของเกษตรกร ปริมาณผลผลิตจำปาดะ เฉลี่ย 4,451 และ 3,406 กก./ไร่ ต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 31,458 และ 29,511 บาท/ไร่ รายได้เฉลี่ย 121,255 และ 91,454 บาท/ไร่ การทดลองที่ 2 : พัฒนาต้นแบบการผลิตพืชผสมผสานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และความเพียงพอและความหลากหลายทางอาหารจังหวัดสตูล ผลการสำรวจ 9 พืชผสมผสานก่อนและหลังการดำเนินงานบริเวณรอบบ้านของเกษตรกร มีการปลูกเพิ่มขึ้นจาก 100 ชนิด เพิ่มเป็น 120 ชนิด ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 ชนิด การทดลองที่ 3 พัฒนาต้นแบบการผลิตพืชอินทรีย์ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย ผลิตทั้งหมด 3 รอบ/ปี ผลผลิตเฉลี่ย 2,370 กิโลกรัม รายได้เฉลี่ย 87,471 บาท/ไร่ การทดลองที่ 4 พัฒนารูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตพืชที่ยืดหยุ่นจากการได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และเสถียรภาพทางอาหารจังหวัดสตูล (Food Stability) ผลผลิต เฉลี่ย 233 กก./ไร่/ปี และ 136 กก./ไร่/ปี รายได้สุทธิ 12,278 บาท/ไร่ และ 3,552 บาท/ไร่ การทดลองที่ 5 พัฒนาแพลตฟอร์มนวัตกรรมความมั่นคงทางอาหารในชุมชนแบบมีส่วนร่วมจังหวัดสตูล (food security Innovation Platform) จัดตั้งกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการวิจัย จัดเวทีวิจัยสัญจรเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างเกษตรกร นักวิจัย สรุปผลการประเมินผลการจัดเวทีวิจัยสัญจรในทุกกิจกรรมและประโยชน์ที่ได้รับ เกษตรกรและผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ระดับคะแนนอยู่ที่ 4.60 และจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี กิจกรรมเวทีวิจัยสัญจรชุมชน “การจัดการผลิตพืชเพื่อเพิ่มเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนนวัตกรรมวิชาการเกษตร ปี 2566”</p>
2025-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/article/view/987
ผลของระยะปลูกต่อผลผลิตของฟ้าทะลายโจรในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน
2024-11-12T15:02:17+07:00
พุฒตาล สังขชาติ
tarn_pest@hotmail.com
<p>ฟ้าทะลายโจรยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในคนและในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ในการผลิตยังขาดข้อมูลด้านเทคโนโลยีการผลิตและการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมกับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคใต้ตอนบนที่พบต้นฟ้าทะลายโจรขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระยะปลูกที่มีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ฟ้าทะลายโจรท้องถิ่นสายพันธุ์พื้นเมือง 5 สายพันธุ์ ทำการทดลองระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึง กันยายน 2566 ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 7 อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วางแผนการทดลองแบบ split plot มี จำนวน 3 ซ้ำ main plot คือ ฟ้าทะลายโจรสายพันธุ์พื้นเมือง 5 สายพันธุ์ ได้แก่ นครศรีธรรมราช-1, กระบี่-1, สุราษฎร์ธานี-1, พังงา-1 และ พังงา-2 ส่วน sub plot ได้แก่ ระยะปลูกที่แตกต่างกัน 5 ระยะปลูก คือ 20x20, 30x30, 40x40, 50x50 และ 60x60 เซนติเมตร ผลการทดลอง พบว่า ฟ้าทะลายโจร 5 สายพันธุ์ ให้น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งแตกต่างกันทางสถิติ โดย สายพันธุ์นครศรีธรรมราช-1, สุราษฎร์ธานี-1 และ พังงา-1 ผลผลิตสดและแห้งสูงสุด 3 อันดับแรก นอกจากนี้การปลูกฟ้าทะลายโจรที่ระยะปลูก 20 x 20 เซนติเมตร ฟ้าทะลายโจรให้ผลผลิตสดและแห้งต่อไร่สูงที่สุด โดยพบว่าสายพันธุ์นครศรีธรรมราช-1 ที่ระยะปลูก 20 x 20 เซนติเมตร ให้น้ำหนักสดสูงสุด 3,800 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมา สุราษฎร์ธานี-1 ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร และ พังงา-1 ระยะปลูก 60 x 60 เซนติเมตร ให้น้ำหนักสด 3,000 และ 2,500 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ในส่วนของน้ำหนักแห้ง พบว่า สายพันธุ์นครศรีธรรมราช-1 ที่ระยะปลูก 20 x 20 เซนติเมตร ให้น้ำหนักแห้งสูงสุด 540 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมา สุราษฎร์ธานี-1 ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร และ พังงา-1 ระยะปลูก 40 x 40 เซนติเมตร ให้น้ำหนักแห้ง 422 และ 341 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ และจากการวิเคราะห์หาปริมาณแลคโตนรวม พบว่า ฟ้าทะลายโจร 5 สายพันธุ์ ให้ปริมาณแลคโตนรวมไม่แตกต่างกันทางสถิติ ฟ้าทะลายโจรสายพันธุ์ทดสอบ 3 ลำดับแรกที่ให้ปริมาณแลคโตนรวมสูงสุด คือ พังงา-1, สุราษฎร์ธานี-1 และ กระบี่-1 ให้ปริมาณแลคโตนรวมเฉลี่ย 19.41, 19.08 และ 18.99 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม ตามลำดับ</p>
2025-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/article/view/988
การจัดการผลิตพืชเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคง ด้านอาหารของชุมชนนวัตกรรมวิชาการเกษตร ชุมชนตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา
2025-01-16T08:33:15+07:00
ศยามล แก้วบรรจง
sayamol2973@gmail.com
<p><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">โครงการการจัดการผลิตพืชเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนนวัตกรรมวิชาการเกษตรดำเนินการในตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์</span><span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรในการพัฒนารูปแบบการผลิตพืชที่เหมาะสม ส่งเสริม</span><span style="font-size: 0.875rem;">รายได้ในอาชีพการเกษตรและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน การศึกษาดำเนินระหว่าง</span><span style="font-size: 0.875rem;">เดือนตุลาคม 2565 - กันยายน 2566 ผลการศึกษาพบว่า การใช้เทคนิคการใส่ปุ๋ยตามแนวทางของ</span><span style="font-size: 0.875rem;">กรมวิชาการเกษตรส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 789 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับกรรมวิธีของ</span><span style="font-size: 0.875rem;">เกษตรกรที่ให้ผลผลิต 353.5 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ การปลูกพืชแบบผสมผสานตามแนวคิดเศรษฐกิจ</span><span style="font-size: 0.875rem;">พอเพียงใน 9 กลุ่มพืช ช่วยเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของครัวเรือน การพัฒนาต้นแบบการผลิตพืชอินทรีย์ </span><span style="font-size: 0.875rem;">ช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ในขณะที่การพัฒนาเทคนิคการเพาะปลูก ที่ปรับตัว</span><span style="font-size: 0.875rem;">ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเอื้อให้เกิดการผลิตพืชอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฤดูกาลปกติและฤดูฝน </span><span style="font-size: 0.875rem;">นอกจากนี้ การพัฒนาแพลตฟอร์ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเกษตรกร นักวิจัย และผู้เกี่ยวข้อง ส่งเสริม</span><span style="font-size: 0.875rem;">การเรียนรู้ด้านการผลิตพืชในชุมชน เกิดการพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลสู่พื้นที่อื่นต่อไป</span></p>
2025-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/article/view/991
วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผักเศรษฐกิจ ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกรผู้ปลูกผักบ้านคลองไม้แดง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-02-26T17:19:31+07:00
นิภาภรณ์ ชูสีนวน
c.nipabhorn@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผักอินทรีย์ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไทย (organic THAILAND) ของเกษตรกรบ้านคลองไม้แดง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการทดลองเป็นระยะเวลา 2 ปี (ระหว่างปี พ.ศ. 2565-2566) โดยการจัดการดินและธาตุอาหารพืชและ การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ ประกอบด้วย 2 การทดลองดังนี้ การทดลองที่ 1 การวิจัย<span style="font-size: 0.875rem;">กะหล่ำในระบบอินทรีย์พบว่า การใช้ปุ๋ยชีวภาพของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซ่า ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต แหนแดง และปุ๋ยหมักเติมอากาศ ในปี พ.ศ. 2565 (ปีที่ 1) ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4,861 กิโลกรัม/ไร่/ปี ในขณะที่กรรมวิธีเกษตรกร (FARMER) ให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,541 กิโลกรัม/ไร่/ปี </span><span style="font-size: 0.875rem;">ต้นทุนการผลิตของวิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตร (DOA) เฉลี่ย 109,729 บาท/ไร่/ปี ซึ่งต่ำกว่าวิธีเกษตรกร (FARMER) ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ย 140,659 บาท/ไร่/ปี วิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรมีรายได้มากกว่าวิธี</span><span style="font-size: 0.875rem;">เฉลี่ยเท่ากับ 320,839 บาท/ไร่/ปี ส่วนวิธีเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเท่ากับ 233,713 บาท/ไร่/ปี วิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรมีรายได้สุทธิเฉลี่ย 211,110 บาท/ไร่/ปีในขณะที่กรรมวิธีของเกษตรกรมีรายได้สุทธิเฉลี่ย 93,054บาท/ไร่/ปี และวิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรมีค่า BCR เฉลี่ยเท่ากับ 2.92 ในขณะที่วิธีเกษตรกรมีค่า BCR เฉลี่ย 1.66 และในปี พ.ศ. 2566 (ปีที่ 2) วิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรให้ผลผลิตมากกว่าวิธีเกษตรกร โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 4,858 กิโลกรัม/ไร่/ปี ในขณะที่กรรมวิธีของเกษตรกรให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,419 กิโลกรัม/ไร่/ปี ต้นทุนการผลิตผักอินทรีย์ของวิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรเฉลี่ย 109,181 บาท/ไร่/ปี ซึ่งต่ำกว่าวิธีเกษตรกรซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ย 121,255 บาท/ไร่/ปี รายได้จากการผลิตผักอินทรีย์ พบว่า วิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรมีรายได้มากกว่าวิธีเกษตรกร เฉลี่ยเท่ากับ 320,621 บาท/ไร่/ปี ส่วนวิธีเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเท่ากับ 209,149 บาท/ไร่/ปี และมีรายได้สุทธิเฉลี่ย 211,441 บาท/ไร่/ปี ในขณะที่กรรมวิธีของเกษตรกรมีรายได้สุทธิเฉลี่ย 84,264 บาท/ไร่/ปี และวิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตรมีค่า BCR เฉลี่ยเท่ากับ 2.94 ในขณะที่วิธีเกษตรกรมีค่า BCR เฉลี่ย เท่ากับ 1.70 การทดลองที่ 2 การทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์</span><span style="font-size: 0.875rem;">ชีวภัณฑ์เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูที่สำคัญในการผลิตผักอินทรีย์ พบว่ากรรมวิธีแนะนำกรมวิชาการ</span><span style="font-size: 0.875rem;">เกษตร (DOA) มีดัชนีการเกิดโรคเหี่ยว โรคใบจุด และโรครากเน่าโคนเน่าในคะน้า กวางตุ้ง และผักกาดขาว เฉลี่ย 4.33%, 3.66% และ 8% ตามลำดับ ในขณะที่วิธีเกษตรกร (Farmer) มีดัชนีการเกิดโรคเหี่ยว โรคใบจุด และโรครากเน่าโคนเน่าในคะน้า กวางตุ้ง และผักกาดขาวเฉลี่ย 14%,14.33% และ 18.33% ตามลำดับ ส่วนการ</span><span style="font-size: 0.875rem;">กำจัดแมลงศัตรูที่สำคัญในผักตระกูลกะหล่ำ พบว่า กรรมวิธีแนะนำกรมวิชาการเกษตร (DOA) พบดัชนีการทำลายของแมลงศัตรูที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยอ่อน หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผัก และด้วงหมัดผักในคะน้า กวางตุ้ง และผักกาดขาว เฉลี่ย 10%, 14.25% และ 14.75% ตามลำดับ ในขณะที่วิธีเกษตรกร (Farmer) พบดัชนีการเกิดโรคเหี่ยว โรคใบจุด และโรครากเน่าโคนเน่าในคะน้า กวางตุ้ง และผักกาดขาวเฉลี่ย 34.75% , 38.75% และ 35.50% ตามลำดับ</span></p>
2025-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://li02.tci-thaijo.org/index.php/jtai/article/view/992
วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผักพื้นบ้านกินยอดที่มีศักยภาพ ทางการค้าในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-11-12T15:17:53+07:00
นิภาภรณ์ ชูสีนวน
c.nipabhorn@gmail.com
<p><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">การศึกษาระยะปลูกและการจัดการทรงพุ่มของผักพื้นบ้านกินยอด จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์และมันปู</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยอดอ่อนมะม่วงหิมพานต์และ</span><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">มันปูให้เป็นพืชทางเลือกที่มีศักยภาพทางการค้า ดำเนินการทดลองระหว่างปี 2565-2566 ณ แปลงทดลองศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุราษฎร์ธานี อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อคสมบูรณ์ (Randomized Completely Block Design, RCRD) จำนวน 6 กรรมวิธี</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">จำนวน 4 ซ้ำ</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ได้แก่ กรรมวิธีที่ 1 ระยะปลูก 1 ระยะปลูก 1 x 1 เมตร และไม่จัดทรงพุ่ม กรรมวิธีที่ 2 ระยะปลูก 1 x 1 เมตร และจัดทรงต้นแบบตัดยอดกลาง (open leader) กรรมวิธีที่ 3 ระยะปลูก 1 x 1 เมตร และจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอดกลาง (modified leader) กรรมวิธีที่ 4 ระยะปลูก 1.5 x 1.5 เมตร และไม่จัดทรงพุ่ม กรรมวิธี ที่ 5 ระยะปลูก 1.5 x 1.5 เมตร และจัดทรงต้นแบบตัดยอดกลาง (open leader) และกรรมวิธีที่ 6 ระยะปลูก 1.5 x 1.5 เมตร และจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอดกลาง (modified leader พบว่า กรรมวิธีที่ 2 การผลิตยอดอ่อนมะม่วงหิมพานต์โดยใช้ระยะปลูก 1.5 X 1.5 เมตร ร่วมกับการจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอดกลาง ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงที่สุดเท่ากับ 41.55 กรัมต่อต้นต่อครั้ง ส่วนการให้ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ ระยะปลูก 1 x 1 เมตร ร่วมกับจัดทรงต้นแบบตัดยอดกลาง ให้ความคุ้มทุนสูงสุด ให้ผลิตยอดอ่อนมะม่วงหิมพานต์ 1,578 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี รายได้ 98,616 บาทต่อไร่ต่อปี ต้นทุนการผลิต 28,000 บาทต่อไร่ต่อปี รายได้สุทธิ 70,616 บาทต่อไร่ต่อปี และ อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (Benefit Cost Ratio : BCR) เท่ากับ 3.7 ดังนั้น การผลิตยอดมะม่วงหิมพานต์โดยใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร ร่วมกับจัดทรงต้นแบบตัดยอดกลาง ให้ผลผลิต รายได้สุทธิ และมีความคุ้มทุนและประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนการผลิตยอดมันปู พบว่า กรรมวิธีที่ 3 การใช้ระยะปลูก 1.5 X 1.5 เมตร ร่วมกับการจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอด กลาง ให้ผลผลิตยอดอ่อนของมันปูได้สูงที่สุดเท่ากับ 98.06 กรัมต่อต้นต่อครั้ง ส่วนการให้ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ระยะปลูก 1 x 1 เมตร ร่วมกับจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอดกลาง ให้ผลผลิตยอดอ่อนมันปู 3,850 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี รายได้ 192,521 บาทต่อไร่ต่อปี ต้นทุนการผลิต 28,000 บาทต่อไร่ต่อปี รายได้สุทธิ 164,521 บาทต่อไร่ต่อปี และ BCR เท่ากับ 6 ดังนั้นการผลิตยอดมันปูโดยใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร ร่วมกับจัดทรงต้นดัดแปลงจากแบบเลี้ยงยอดกลาง ให้ผลผลิต รายได้สุทธิ และมีความคุ้มทุนและประสิทธิภาพสูงสุด </span></p>
2025-07-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มหาวิทยาลัยทักษิณ